POLITICS

‘ธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย ’ทักษิณ – พรรคเพื่อไทย‘ เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

‘ธีรยุทธ’ หอบเอกสารกว่า 5 พันแผ่น ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย ’ทักษิณ – พรรคเพื่อไทย‘ เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง อ้างปม สั่งการพรรคเพื่อไทย บริหารราชการเอื้อประโยชน์ส่วนตัว ไม่ต้องรับโทษชั้น 14 ยืนยัน​ ทำคนเดียว​ ไม่มีเบื้องหลัง​ แค่ปรึกษา ‘ไพบูลย์’ เรื่องข้อกฎหมายบางประเด็น แต่ไม่ได้รับงาน​ ไม่ใช่สมาชิกพรรค​ ไม่เคยเจอ‘พล.อ.ประวิตร’

วันนี้ (10 ต.ค. 67) เวลา 10:30 น. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำ ที่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ อันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49

นายธีรยุทธ เปิดเผยว่า ตนเองนำเอกสารำคำร้องมายื่นต่อศาลในวันนี้ ประกอบด้วย คำร้อง 65 หน้า และเอกสาร จำนวน 443 แผ่น รวมถึงคำร้อง และเอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น จำนวน 10 ชุด รวมทั้งสิ้น 5,080 แผ่น ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้โปรดวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เนื่องจาก นายทักษิณ มีการให้พรรคเพื่อไทย ทำการบริหารราชการแผ่นดินตามความต้องการของนายทักษิณ

โดยพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องทั้งสอง แบ่งได้เป็น 6 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1. ผู้ถูกร้องที่ 1 (นายทักษิณ) ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 (พรรคเพื่อไทย) เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารรราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว

เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

กรณีที่ 2. ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ซึ่งมีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ให้ประเทศกัมพูชาละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU 2544) เพื่อแบ่ง ผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา

กรณีที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมือง (พรรคก้าวไกลเดิม) ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการ ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอแก้ไข รัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถูกร้องที่ 1 และพวก

กรณีที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพัก ส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

กรณีที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยผู้ถูกร้องที่ 2 ยินยอมกระทำการตามที่ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการ

กรณีที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567

ทั้งนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยว่า ทั้ง 6 กรณีผู้ถูกร้องทั้งสองได้มีการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองหรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง และ ผู้ถูกร้องทั้งสองมีการกระทำ อันมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง การกระทำดังกล่าวทั้งสองประการ เป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายธีรยุทธมายื่นเอกสารหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้นั้นมีความคาดหวังว่าจะเหมือนกับกรณีของการยื่นยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น นายธีรยุทธ ระบุว่า ตนเองคาดหวังตามที่รัฐธรรมนูญนั้นกำหนดไว้ ส่วนจะเมตตาไต่สวนหรือเห็นเหตุประการใดหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของศาล

เมื่อถามว่า เรื่องนี้ได้มีการปรึกษา ข้อกฎหมาย กับนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ เพราะตัวของนายไพบูลย์เป็นผู้ที่มาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าว และเป็นคนกำหนดหมายข่าว นายธีรยุทธ ปัดตอบประเด็นนี้ พร้อมระบุว่า สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ในคำวินิจฉัยศาลเน้นย้ำว่าการกระทำของผู้ถูกร้องปรากฏชัดตามที่วิญญูชน และสาธารณะชนได้รับทราบ

อีกทั้ง เมื่อได้อ่านคำวินิจฉัยนั้นแล้ว ตนคิดว่า ต้องมีการปรึกษากับผู้ที่มีความรู้จึงจำเป็นต้องปรึกษาจากผู้ที่มีประสบการณ์ และมีคุณวุฒิ ซึ่งเห็นว่ามีตัวของนายไพบูลย์อยู่ด้วยเป็นคนหนึ่งที่ได้มีการพบปะพูดคุยกันจึงเรียนปรึกษาท่านในบางประเด็นเท่านั้น ส่วนได้มีการปรึกษากับนักกฎหมายคนอื่นหรือไม่นอกจากนายไพบูลย์นั้น นายธีรยุทธ ตอบว่า นักกฎหมายคนอื่นขอไม่เปิดเผย

ส่วนภาพหลักฐานกรณีนายทักษิณ รักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น นายธีรยุทธ ระบุว่า ตนจะนำเสนอพยานบุคคลแทน ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่มีความสำคัญยิ่งกว่าคลิปเสียง เพราะคลิป และรูปภาพหรือวิดีโอ หากไม่ได้รับการยินยอมจากบุคคลนั้น ก็จะถือว่าเป็นหลักฐานที่ผิดกฎหมาย และเราไม่ปรารถนาให้เกิดความผิดเกิดขึ้น

ส่วนจะมีการเชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ด้วยหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนขอไม่ก้าวล่วงศาล เพราะในบริบทหนึ่ง ก็เห็นว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์นั้น ได้มีการออกมาดำเนินการในส่วนของท่านแล้ว แต่ในส่วนของตนเอง ได้ใช้ รายงานของสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียด และพยานบุคคลรวมถึงพยานเอกสารอื่นๆ ที่มั่นคงตามระบบราชการอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า ระบบการไต่สวนของศาลธรรมนูญมีความเป็นพิเศษกว่าระบบศาลยุติธรรม ท่านมีอำนาจโดยตรงที่จะเรียกเอกสารพยานวัตถุพยานภาพถ่ายจากที่ใดก็ได้ที่เห็นสมควร เราจึงชี้ช่องไปว่ามีรายงานของ กสม. อยู่ และมีเนื้อหาข่าวที่เผยแพร่อยู่ท่านก็อาจจะใช้ดุลพินิจของท่านโดยตรงว่าเห็นสมควรแบบใด

ส่วนพยานบุคคลจะมีใครบ้างนั้น นายธีรยุทธ กล่าวว่า ได้นำเรียนแล้ว แต่ในชั้นคำร้องซึ่งขอสงวนชื่ออยู่ และขอเปิดเผยในห้วงถัดไปต่อจากนี้ โดยพยานที่ใช้ในคดีนี้ เรามีความคาดหวังอยู่ที่ประมาณ 3-4 ท่าน แต่ไม่ได้มีการติดต่อคนที่จะมาเป็นพยานซึ่งตนปรารถนาที่จะให้เป็นพยานบริสุทธิ์ล่วงหน้าการติดต่อล่วงหน้าอาจจะทำให้เกิดความไม่บริสุทธิ์ ศาลส่วนจะให้ศาลใช้อำนาจเรียกพยานหลักฐานให้ข้อมูลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

เมื่อถามว่า กรณีนี้หากมีมูลจริงอาจนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนไม่อาจทราบได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าบริบทบางอย่างในเรื่องนี้กระทบสถาบันหลัก และปรารถนาให้มีการหยุดเสียก่อน

ส่วนการยื่นต่อศาลครั้งนี้ มีหลักฐานเกี่ยวกับข้อมูลบ้านจันทร์ส่องหล้าหรือไม่เนื่องจากเคยมีคนออกมาพูดเรื่องของหลักฐานภายในบ้านจันทร์ส่องหล้าแล้วนั้น นายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนไม่อาจไปก้าวล่วง ผู้ที่ออกมาพูดได้

เมื่อถามย้ำว่า ในการยื่นต่อศาลครั้งนี้มีการร่วมมือกับคนที่ออกมาเปิดเผยหลักฐานหรือไม่ นายธีรยุทธ ปฏิเสธ พร้อมกล่าวว่า ส่วนอื่นเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่สำหรับตนทำเอง เพียงคนเดียว

นายธีรยุทธ ยืนยันว่า ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังตน และตนก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดการทำงานก็เป็นการทำงานเงียบๆ เพียงคนเดียว

เมื่อถามว่า ได้มีการออเดอร์ในการมายื่นคำร้องต่อศาลครั้งนี้หรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนได้มีการยื่นแต่วันที่ยังไม่ได้ข่าวเลยเรื่องนี้ และไม่ได้ปรารถนาแต่เป็นเพียงการส่งสัญญาณ

ส่วนที่หลายคนมองว่าจะเป็นการรับงานมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั้น นายธีรยุทธ บอกว่า ตนยังไม่เคยเจอตัวท่านเลย และยังไม่เคยมีการพูดคุยกันเลยเลยสักครั้ง

ทั้งนี้ นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า เอกสารพยานทั้งหมด ใช้เวลาในการรวบรวมประมาณ 2-3เดือน ซึ่งมีการทำไปแก้ไปอยู่เป็นระยะ จนได้ข้อสรุปแล้วมายื่นในวันนี้

Related Posts

Send this to a friend