‘ดร.เผ่าภูมิ’ ชี้แจง ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ ไม่เกี่ยวกับ บ.เอกชน มีความปลอดภัยสูง
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และกรรมการ เลขานุการ โฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ออกมาชี้แจงประเด็น ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ เพิ่มเติม 10 ประเด็น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ไม่ใช่คริปโทเคอร์เรนซี (cryptocurrency) และไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้บล็อกเชน (blockchain) เขียนเงื่อนไขลงไป เพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด สามารถแลกเป็นเงินบาทได้ทุกเมื่อ
2.เหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการขาดทุน ไม่มีการสร้างมูลค่า ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ เพราะทุกเหรียญมีค่าเท่าเงินบาทเสมอ
3.ไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบการเงิน เพราะไม่ใช่การสร้างสกุลเงินใหม่ ไม่เกี่ยวกับทุนสำรองระหว่างประเทศ
4.‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ เงิน 10,000 บาท ลงถึงมือประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไป ทุกคน สามารถใช้จ่าย ซื้อของได้จริง ไม่มีการสูญหายของงบประมาณ และตรวจสอบได้ทุกธุรกรรมตลอดเส้นทาง
5.‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ไม่ใช่กรณีเดียวกับ Bitcoin Luna และ USDT ที่ออกโดยเอกชน และมุ่งหมายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน แต่กระเป๋าเงินดิจิทัล คือเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไป ออกโดยรัฐบาล ไม่ใช่สกุลเงินคู่ขนานกับเงินบาท
6.‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชน ไม่เกี่ยวกับการซื้อบริษัท ไม่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ไม่เกี่ยวกับการลงทุน ทั้งหมดใช้งบประมาณจากภาครัฐและโอนตรงถืงมือประชาชนทุกคน อย่างตรงไปตรงมา
7.‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชน ในตลาด สร้างธุรกรรมระหว่างรายย่อย ตรงข้ามกับวิธีเดิมที่ต้องซื้อในร้านใหญ่หรือกลุ่มทุน
8.ใช้ระบบ Blockchain ซึ่งมีความปลอดภัยสูงสุด รู้เส้นทางการเงินทุกธุรกรรม และสามารถตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม
9.ไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะปัจจุบันระดับกำลังซื้อของประเทศตกต่ำ เศรษฐกิจตกต่ำกว่าศักยภาพมาก สภาวะดังกล่าวไม่นำไปสู่เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ได้ รวมทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถจัดสรรเงินจากงบประมาณ ไม่มีการขึ้นอัตราภาษีใด ๆ
10.พรรคเพื่อไทยสนับสนุน Central Bank Digital Currency (CBDC) และเดินหน้าพัฒนาร่วมกันกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเปิดสำหรับทุกคน ยกระดับระบบการเงินของประเทศเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล












