‘เท้ง’ เตือน ‘อนุทิน’ อย่าตกหลุมพราง ‘ฮุน เซน ‘ แนะใช้การทูตควบคู่การทหาร
‘เท้ง’ เตือน ‘อนุทิน’ อย่าตกหลุมพราง ‘ฮุน เซน ‘ เบี่ยงประเด็นสแกมเมอร์ให้โลกล้อม ‘ไทย’ แนะใช้การทูตควบคู่การทหาร กดดัน ‘กัมพูชา’ ทำตามข้อตกลง มองท่าทีนายกฯ เป็นอันตราย หลังประกาศจากนี้ไม่มีเจรจาสันติภาพ ยกคำพูดรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่มีการรบใดไม่จบที่โต๊ะเจรจา
วันนี้ (9 ธ.ค. 68) ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า สถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 3 ตนเองติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน 6 จังหวัดที่ต้องอพยพแล้วกว่า 100,000 คน โรงเรียนและโรงพยาบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ และต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของทหารอย่างน้อย 3 นาย ที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะ และขอส่งกำลังใจให้ทหารอีกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บ
พี่น้องประชาชนและชีวิตของทหารไทย ไม่ควรต้องมาสูญเสียกับสงครามที่หลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกับชีวิตของพลเรือน 17 รายและทหาร 18 นายที่เสียชีวิตจากการสู้รบในระลอกแรกเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนนับแสน คนแก่ เด็กเล็ก ไม่ควรต้องได้รับผลกระทบจากการต้องอพยพ ทิ้งวัวควาย ไร่นา บ้านเรือน หากรัฐบาลจัดการเด็ดขาดต่อปัญหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ นั่นคือขบวนการสแกมเมอร์ซึ่งหล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน วันนี้เสียงเรียกร้องจากประชาชนคือต้องการจบปัญหาอย่างถาวร แต่ Endgame ฉากจบที่เรามองเห็นตรงกันหรือไม่ การรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เพราะจะเกิดความสูญเสียมหาศาลต่อทหารฝั่งเราเอง และประเทศไทยจะถูกโจมตีจากนานาชาติในฐานะผู้รุกราน การจบปัญหาที่เป็นจริง จึงหมายถึงการคืนชีวิตปกติกลับสู่พี่น้องประชาชน ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงภัยสงคราม การทำมาค้าขายเป็นไปอย่างปกติสุขตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา
ตนเองเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของ พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 “ไม่มีการรบใดไม่จบด้วยการเจรจา” โจทย์ของเราในวันนี้ เพื่อนำไปสู่ฉากจบด้วยการเจรจา จึงมีดังนี้
1.การใช้กำลังทางการทหารเพื่อดูแลปกป้องอธิปไตย ต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการใช้กำลัง และการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งการคุกคามของกัมพูชา
2.การดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ปฏิบัติการเกินหลักสากลจนประเทศไทยเพลี่ยงพล้ำไปตกหลุมพรางฮุน เซน ว่าเราเป็นฝ่ายรุกราน
3.ใช้การทูตกดดันกัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจา โดยร่วมมือกับนานาชาติ ใช้กลไกระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์กับไทยมากที่สุด โดยใช้เรื่องสแกมเมอร์เป็นธงนำ ดึงความร่วมมือจากชาติมหาอำนาจและทุกประเทศทั่วโลกในการอยู่ข้างประเทศไทย ชนะระบอบฮุนเซนด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์และการฟอกเงิน
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนเองตั้งข้อสังเกตว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงสาเหตุการปะทะครั้งที่แล้วและครั้งนี้ ล้วนเกิดจากสาเหตุเดียวกันคือ ความพยายามในการปกป้องเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน การปะทะครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นหลังจากการอายัดทรัพย์เบน สมิธ ยิม เลียก ก๊ก อาน เฉินจื้อ ที่ปรึกษาคนสนิทของฮุน เซน ที่ดูแลอาณาจักรกาสิโนและสแกมเมอร์ทั้งในกัมพูชาและต่างประเทศ
จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีว่าการปะทะกันครั้งนี้ เป็นเพียงแผนการเบี่ยงประเด็นของฮุน เซนหรือไม่ และเหตุที่รัฐบาลทุ่มเทกับการสู้รบอย่างเต็มที่ กำลังกลายเป็นการเดินตามแผนการของฮุน เซน ที่ต้องการพลิกสถานการณ์จากที่โลกกำลังล้อมกัมพูชาด้วยประเด็นสแกมเมอร์ เป็นให้โลกมาล้อมไทยด้วยข้อหารุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าหรือไม่
หากรัฐบาลต้องการคะแนนนิยม การไปตามกระแสชาตินิยม รบให้สุดซอยก็ตอบโจทย์นั้น แต่หากเรามีเป้าหมายร่วมกันว่าต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงสันติภาพและความมั่นคงที่ถาวรและยั่งยืน เพื่อปกป้องประชาชนไทยตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตและขาของทหารทุกนายไม่ให้ต้องสูญเสียไปจากการรบที่ถูกปลุกปั่นโดยเป้าประสงค์ทางการเมืองของฮุน เซน วิธีออกจากปัญหานี้ย่อมไม่ใช่เพียงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร แต่คือการใช้ทั้ง 3 แนวรบที่ตนเองได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกครั้ง
1.แนวรบทางการทหาร การใช้กำลังทหารต้องเป็นวิธีการสุดท้าย เมื่อเครื่องมืออื่น ๆ ถูกใช้ไปจนหมดแล้วไม่ได้ผล และหากมีเหตุให้เกิดขึ้น ต้องดำเนินไปภายใต้กฎกติกาสากลและแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องไทยไม่ให้ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน รังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยมาโดยตลอด
จากสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีตอบโต้ไทย รัฐบาลควรตัดสินใจทางการทหารโดยยึดหลักป้องกันตนเองและตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลว่าเราใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อจัดการภัยคุกคามเฉพาะหน้า ไม่ใช่เพื่อรุกราน ตนขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการจำกัดขอบเขตการรบ กฎการตอบโต้อย่างได้สัดส่วนเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการลดระดับความตึงเครียดทางการทหารผ่านการใช้แนวรบที่ 2 คือแนวการทูตควบคู่กับการทหาร
2.แนวรบด้านข่าวสารและการทูต ท่าทีของนายกรัฐมนตรีเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย นั่นคือการบอกว่าไม่มีการเจรจาสันติภาพอีกต่อไป เพราะแม้แต่รองแม่ทัพภาค 2 ยังเคยยืนยันว่าไม่มีการรบใดไม่จบลงที่โต๊ะเจรจา ในทางกลับกัน การรบเป็นส่วนหนึ่งของการกดดันให้กัมพูชาซึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ฝ่าฝืนข้อตกลง ยอมกลับมาร่วมการเจรจาและทำตามข้อตกลงสันติภาพที่ได้มีการลงนามกันไว้แล้ว แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กลับเป็นฝ่ายปฏิเสธการเจรจา ซึ่งทำให้ไทยกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นผู้กระทำผิดในสายตาประชาคมโลก ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือระบอบฮุนเซน
ขณะที่การรบดำเนินอยู่ รัฐบาลต้องตระหนักว่าเป้าหมายของการรบคือการป้องกันตนเองและบังคับให้กัมพูชากลับมาทำตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ โดยครั้งนี้ต้องมีการปรับการทำงานของคณะผู้สังเกตุการณ์อาเซียน (AOT) ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีความหมาย เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการกลับมาปะทะกันซ้ำอีกในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรเดินหน้ากดดันกัมพูชาในเวทีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา เช่นที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งดำเนินการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
3.แนวรบปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเปิดแนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ โดยเดินหน้าสุดซอยในการขุดรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินแผนการประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก โดยใช้การประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลักดันบทบาทไทยให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้ และประสานความร่วมมือกับนานาชาติให้ได้ ดังที่พรรคประชาชนและภาคประชาสังคมได้นำเสนอแนวทางเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้รัฐบาลยังต้องสั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เดินหน้าอายัดทรัพย์บุคคลไทยที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ใช่ตัดตอนแค่ชาวต่างชาติอย่างเบน สมิธ เฉินจื้อ ก๊ก อาน และยิม เลียก หากรัฐบาลไม่จริงจังในเรื่องนี้ การให้กระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือกับนานาชาติในฐานะเจ้าภาพ ก็จะกลายเป็นเพียงปาหี่ตบตาชาวโลก ประเทศไทยจะกลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าการยึดหลักการเช่นนี้ ไม่เพียงจะนำไปสู่การจบปัญหาในระยะยาว แต่ยังจะทำให้ไทยไม่เสียเปรียบในเวทีโลก สามารถตอบโต้ฮุน เซน ได้อย่างเหนือกว่าทั้งในระดับแนวรบการทหาร การข่าว การทูต และสุดท้าย ตนเองย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องตั้งหลักให้มั่นว่าแนวรบที่สำคัญในตอนนี้คือการทูตควบคู่การทหาร มุ่งเป้ากดดันกัมพูชากลับสู่การเจรจา โดยใช้การปราบสแกมเมอร์เป็นหัวใจในการดำเนินการ
“หยุดเดินอ้อม ต้องพุ่งตรงเข้าสู่แกนกลางของปัญหา คือการเดินหน้าจัดการสแกมเมอร์สุดซอย เราจะต้องพลิกวิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสในการกวาดล้างกลุ่มชนชั้นนำที่หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน หยุดการสร้างสงครามเพื่อกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตัวเองก่อ ใช้เลือดเนื้อชีวิตของทหารและประชาชนเป็นตัวประกัน”
เมื่อถามถึงกรณีที่เคยระบุสนับสนุนกองทัพดำเนินการรบอย่างเต็มกำลัง โดยมุ่งทำลายเป้าหมายทางทหาร เพื่อขจัดขีดความสามารถในการรบของกัมพูชา จนนําไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ เข้าข้างรัฐบาล หรือโหนชาตินิยม นายณัฐพงษ์ ย้ำตามแถลงการณ์ที่ได้มีการลงรายละเอียดมากขึ้นเมื่อสักครู่นี้ว่า การใช้กําลังทหารต้องมีขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง และปกป้องอธิปไตย เป็นไปตามหลักสากล และเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน พุ่งเป้าเพื่อขจัดภัยคุกคามเฉพาะหน้า ถ้าการดําเนินการทางการทหารเป็นไปตามหลักทั้งหมดที่ตนได้กล่าวไปนั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่กองทัพควรจะต้องดําเนินการ
เมื่อถามถึงท่าทีของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งชัดเจนว่าอาจจะไม่ถอยกลับไปสู่โต๊ะเจรจา ในฐานะฝ่ายค้านมีโอกาสใช้กลไกของสภาในการเสนอแนะ หรือจะมีกลไกใดบังคับให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยทำตามบ้าง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คงใช้ในทุกเวที อย่างการแถลงข่าวในวันนี้ ก็อยากแนะนำนายกรัฐมนตรีให้กลับไปพูดคุยกับทางรองแม่ทัพภาคที่ 2 และฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเคยให้ความเห็นว่า ไม่มีการรบใด ไม่จบที่การเจรจา
ตนเองเข้าใจความรู้สึกในความสูญเสียของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวจังหวัดชายแดน รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ ที่ติดตามสถานการณ์ในตอนนี้ ว่าทุกคนอยากจบปัญหา แต่ปัญหาที่สำคัญที่ต้องพูดคุยกันตกผลึกให้ได้ คือรัฐบาลต้องชี้ให้เห็นแนวทางชัดเจนว่า จุดจบสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอยู่ที่ตรงไหน เรายืนยันว่า จุดจบของเรื่องนี้ที่แท้จริง คือการคืนความมั่นคง คืนสันติภาพ ชีวิตที่เป็นปกติสุข สู่ประชาชนตามแนวชายแดน ซึ่งการจะทําเรื่องนี้ได้ ต้องใช้ทุกวิถีทั้ง 3 แนวรบ กดดันให้กัมพูชายอมเข้าสู่การเจรจากับประเทศไทย การรบในแบบการใช้กําลังทหารแบบสุดซอย เพื่อรุกรานหรือครองประเทศ เป็นไปไม่ได้แล้วในโลกยุคปัจจุบัน และทําให้ประเทศไทยขาดความชอบธรรมในเวทีโลก
เมื่อถามถึงปัญหาที่กัมพูชาไม่จริงใจ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้ออกมาแสดงจุดยืนเรื่องนี้ เพราะคิดว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่มีความจริงใจที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ แต่ที่สำคัญคือเราจะกดดันเพื่อให้กัมพูชายอมเดินเข้าสู่โต๊ะเจรจาได้อย่างไร ดังนั้นการดำเนินการทางการทหาร ถ้าต้องการที่จะขจัดภัยคุกคามเฉพาะหน้า เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ให้เขาไม่ได้มีขีดความสามารถ ในการทำร้ายประชาชนคนไทย เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ตราบใดที่เป็นไปตามหลักสากล ปกป้องตนเอง ปกป้องอธิปไตย และเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน
ขณะเดียวกัน การใช้กำลังทางการทหารอย่างเดียว ก็ไม่เพียงพอ ทางการทูตก็ต้องดำเนินการไป ซึ่งหัวใจที่จะสามารถดึงประเทศมหาอำนาจ รวมถึงทุกประเทศทั่วโลกให้เข้าข้างประเทศไทย เอาโลกล้อมกัมพูชาได้จริงๆ ต้องใช้เรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์เป็นแกนกลางเพื่อกดดันกัมพูชาให้กลับเข้าสู่การเจรจาสันติภาพ
ส่วนที่มีการประเมินท่าทีของนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลเดินตามกองทัพหรือไม่ แทนที่จะประสานงาน หรือสั่งการกองทัพ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ตนเองสื่อสารไปก่อนหน้านี้หลายรอบแล้ว และขอยืนยันว่ารัฐบาลพลเรือนควรอยู่เหนือกองทัพ การที่นายกรัฐมนตรีอาจจะตีเช็กเปล่าให้กองทัพจัดการได้ทุกเรื่อง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่สามารถปฏิเสธการดําเนินการใด ๆ ของฝ่ายความมั่นคงได้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่มีความผิดรับผิดรับชอบต่อการบริหารสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาโดยตรง












