POLITICS

กต. รายงานยอดคนไทยในอิสราเอลเสียชีวิต 12 ราย ถูกจับเป็นตัวประกัน 11 คน

กต. รายงานยอดคนไทยในอิสราเอลเสียชีวิต 12 ราย ถูกจับเป็นตัวประกัน 11 คน แจ้งความประสงค์กลับประเทศมากกว่าพันคนแล้ว รอสัญญาณความพร้อมอพยพ ทอ. พร้อมบินรับทันที

วันนี้ (9 ต.ค. 66) เวลา 11:00 น. นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ กระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นความไม่สงบในตะวันออกกลาง

นางกาญจนา กล่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ว่า ยังคงมีความรุนแรง มีการโจมตีด้วยจรวดจากฉนวนกาซาเข้ามาในพื้นที่ ขณะเดียวกัน รัฐบาลอิสราเอลยังพยายามกระชับและยึดพื้นที่คืน พร้อมทั้งช่วยเหลือตัวประกันและผู้ที่ถูกจับกุม โดยในขณะนี้ มีพลเรือนอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้รับผลกระทบ ทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต ตลอดจนมีพลเรือนถูกจับตัวไปอย่างน้อย 100 คน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ได้ประกาศว่า ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ดังนั้น กองทัพอิสราเอล มีอำนาจสั่งการความปลอดภัยและปิดสถานที่พลเรือนตามความเหมาะสม พร้อมทั้งประกาศอพยพพลเรือนทุกคน รวมถึงคนไทย ออกจากฉนวนกาซา ภายใน 24 ชั่วโมง

นางกาญจนา กล่าวว่าจะเห็นได้ว่าสถานการณ์มีการพัฒนาไปอย่างมาก การดำเนินการอพยพจึงต้องมั่นใจว่า ไม่มีผู้ก่อการร้ายในบริเวณนั้น เพื่อเน้นความปลอดภัยของพลเรือนให้ได้มากที่สุด

กระทรวงการต่างประเทศ ยังดำเนินการประสานกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการบรรยายสถานการณ์ และลดความกังวลในพื้นที่ ทั้งนี้ มีรายงานว่า ท่าอากาศยานยังคงเปิดทำการตามปกติ อิสราเอลยืนยันยังมีความปลอดภัย หากประเทศไหนต้องการอพยพก็สามารถดำเนินการได้ หากดำเนินการด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ก็เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ประเทศอื่นก็สามารถติดต่อประสานงานเป็นเที่ยวบินทางการได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีการปิดโรงเรียนและร้านค้าทั่วประเทศ แต่บางช่วงก็หลบในหลุมหลบภัย

นางกาญจนา รายงานสถานะคนไทยว่า มีผู้บาดเจ็บ 8 ราย ได้รับการดูแลในโรงพยาบาลทุกคน มีตัวประกันถูกจับกุม 11 คน และมีผู้เสียชีวิต 12 ราย ตามการรายงานล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ต.ค. 66) จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ โดยได้รับการแจ้งจากนายจ้าง พร้อมทั้งประสานกับเจ้าหน้าที่แรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในพื้นที่ แต่เป็นการแจ้งที่ไม่ได้รับการยืนยันจากทางการอิสราเอล เนื่องจากอยู่ในภาวะสงครามที่ยังมีการสู้รบกันอยู่ จึงยืนยันได้อย่างยากลำบาก และตัวเลขยังไม่นิ่ง

“ยังไม่อยากเปิดเผยชื่อ เป็นมารยาท ยังไม่อยากให้ญาติเห็นผ่านสื่อก่อนได้ติดต่อโดยตรง”

นางกาญจนายังรายงานว่า ได้รับแจ้งจากกองทัพอิสราเอลว่า มีการอพยพคนไทยในหลายพื้นที่ไปในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว โดยมีการขอความช่วยเหลือจากสถานทูตให้แปลเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางสถานทูตได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว

สำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย ศูนย์ประชุมสถานการณ์ฉุกเฉิน (Rapid Response Center: RRC) ได้เตรียมการใช้เครื่องบินกองทัพอากาศในการอพยพ หากมีสถานการณ์พร้อม รู้วัน และเส้นทาง ก็สามารถดำเนินการได้คล่องแคล่วรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ มีการเวียนแบบฟอร์มออนไลน์ แสดงความประสงค์กลับประเทศไทย ซึ่งบางคนอาจไม่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยและไม่ต้องการกลับ จึงแล้วแต่ความประสงค์

ล่าสุดในวันที่ 8 ต.ค. 66 เวลา 21:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีผู้แสดงความประสงค์กลับประเทศไทยแล้วกว่า 1,099 คน และไม่ขอกลับ 22 คน ปัจจุบันยังคงทยอยแจ้งความจำนงเข้ามา เพราะจำนวนคนไทยในอิสราเอล มีประมาณ 30,000 คน และบริเวณฉนวนกาซา 5,000 คน โดยจะประสานกับประเทศที่ใกล้เคียงไว้ อย่างจอร์แดน ซึ่งทราบว่ากองทัพอากาศสามารถบินตรงได้ และยังไม่ปัดตกตัวเลือกเที่ยวบินพาณิชย์ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการประสานกันทุกทิศทาง

นางกาญจนา ยังได้ย้ำถึงสัญญาณของผู้ที่ประสงค์จะเดินทางว่า การที่จะลำเลียงผู้คนเหล่านี้ออกจากพื้นที่ไม่ปลอดภัย ขึ้นอยู่กับความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ตลอดจนธุรการต่างๆ อย่างการขออนุญาตข้ามน่านฟ้าด้วย

สำหรับการเจรจากับปาเลสไตน์นั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และสถานเอกอัครราชทูตทั่วโลก ในการติดต่อทางฝั่งปาเลสไตน์แล้ว

นอกจากนี้ สำหรับการประเมินสถานการณ์ของนักวิเคราะห์ฝ่ายต่าง ๆ ที่คาดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อนั้น กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว ทั้งการซักซ้อมการอพยพของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จึงเรียกว่าเป็นเรื่องที่ดี สถานทูตเองก็ได้ประสานงานไว้อย่างใกล้ชิด ทั้งภาครัฐและท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบต่อไป

“สถานทูตแจ้งว่าโทรศัพท์สายเข้าไม่หยุดยั้งตลอดเวลา ขอให้ทุกท่านวางใจ ก็เหมือนทุกครั้งที่มีปฏิบัติการ เรื่องความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชน รัฐบาลทางการให้ความสำคัญสูงสุด เป็นภารกิจของสถานทูตเรา”

หลังจากนี้ จะมีการประชุมศูนย์สถานการณ์ฉุกเฉินทุกวัน เวลา 13:00 น. จึงอาจเลื่อนเวลาแถลงข่าวช่วงบ่ายขึ้นมาให้เร็วขึ้น โดยจะพยายามประสานทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ให้ร่วมการแถลงข่าวด้วย

Related Posts

Send this to a friend