‘ภูมิธรรม’ ขอบคุณสื่อทำเนียบฯ ยัน ‘เพื่อไทย’ เดินหน้าทำงานต่อ
วันนี้ (9 ก.ย. 68) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสุดท้ายของรัฐบาลรักษาการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ได้เดินลงจากตึกบัญชาการ 1 มายังโต๊ะรับประทานอาหาร ข้างรังนกกระจอก 3 หรือห้องทำงานของสื่อมวลชน ทำเนียบรัฐบาล ที่จัดเตรียมขึ้นมาพิเศษ เพื่อร่วมรับประทานอาหารกับสื่อมวลชนทำเนียบฯ ในการแสดงความขอบคุณ สำหรับตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ที่ได้ทำงานร่วมกัน โดยมีเมนู ข้าวหมูแดงหมูกรอบ, ข้าวมันไก่ทอด, ข้าวหน้าเป็ด และพิซซ่า รวมไปถึงของหวานเครื่องดื่ม และไอศกรีม ซึ่งทุกคนต่างมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทีผ่อนคลาย และอารมณ์ดี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เราพยายามเคลียร์งานที่อยู่ในหน้าที่ให้หมดไป ซึ่งขณะนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็กำลังฟอร์มจัดตั้งรัฐบาลอยู่ ขณะที่ความเป็นรัฐมนตรีของพวกเรากำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อ ครม. ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ ช่วงเวลานี้ต้องเคลียร์งานทั้งหมด เพื่อให้ ครม. ชุดใหม่มาดำเนินการต่อ ซึ่งวันนี้มีความตั้งใจที่จะมารับประทานอาหารกับสื่อมวลชนหลังได้ทำงานร่วมกันมาตลอด มีรักกันบ้าง กระทบกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่คิดว่าไม่เป็นปัญหา ซึ่งเป็นธรรมชาติของการทำงานร่วมกัน ซึ่งตนเองรู้สึกเสียดายที่อาจจะเร็วไปนิดนึงที่จะต้องจากกันไป แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเราก็เริ่มที่จะจัดของ เพราะนายกรัฐมนตรีใกล้ที่จะจัดตั้งรัฐบาลใกล้เสร็จแล้ว
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล เรามีหน้าที่ ซึ่งเมื่อเรามีปัญหาเรื่องการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนรัฐมนตรีที่ยังเป็น สส. ก็กลับไปทำหน้าที่ และตนเองไม่ได้เป็น สส. ก็กลับไปทำงานกับพรรค
ทั้งนี้ เมื่อได้พูดคุยกันทั้งหมดแล้ว พวกเราพร้อมที่จะทำพรรคต่อไป โดยยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ยังมีต้นทุนอยู่ อย่างน้อยประชาชน 10,000,000 คน ก็ยังรัก และผูกพัน เราจึงมีหน้าที่จะต้องทำงานต่อไป และคนในพรรคเพื่อไทยยังเข้มแข็ง พร้อมที่จะสู้ ส่วนใครจะทำอะไรต่อไปก็ถือว่า เป็นเอกสิทธิ์














