POLITICS

‘จุรินทร์’ ย้ำจุดยืน ปชป. พร้อมสนับสนุนร่างนิรโทษกรรมที่ไม่รวม ม.110 และ 112

วันนี้ (9 ก.ค.68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วาระ พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. …. ซึ่งมี สส. และภาคประชาชนเสนอรวม 5 ฉบับ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายถึงจุดยืนของตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนเองมีจุดยืนต่อการนิรโทษกรรม 2 ประการ 1. เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำความผิดโดยทั่วไป เช่น ร่วมชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกถึงความคิดเห็นในทางการเมืองซึ่งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในวิถีทางประชาธิปไตย 2. ตนเองไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112 การกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว คือการกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อพระราชินี ต่อองค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ และไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีอาญาร้ายแรง เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา

ประเทศไทยเคยมีการนิรโทษกรรมมาแล้วหลายครั้ง มีการบันทึกไว้ 23 ครั้ง แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นคดีทางการเมือง ครั้งสำคัญที่เราจะจำกันได้ก็คือ การออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดในคดี 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งมีการนิรโทษกรรมในปี 2521 ใน 2 ปีต่อมา แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่เรานิรโทษการกระทำความผิดจากการทุจริตคอร์รัปชัน และการกระทำความผิดตามมาตรา 112

สำหรับกรณีการกระทำความผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งถือว่าเป็นมะเร็งร้ายสำหรับประเทศที่เกาะกินประเทศของเรามาต่อเนื่องยาวนานจนมาถึงทุกวันนี้ ความจริงได้มีความพยายามที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม การกระทำความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบมาแล้วครั้งหนึ่ง ในปี 2556 ตนเองสามารถพูดได้เต็มปาก เพราะตอนนั้นตนเองทำหน้าที่ประธานวิปฝ่ายค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่า ที่ได้รับการตั้งชื่อว่าสุดซอย ซึ่งเนื้อหาการนิรโทษกรรมคดีการกระทำความผิดจากการทุจริตคอร์รัปชัน แต่สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้ กลายเป็นมูลเหตุหนึ่งในการยึดอำนาจต่อมา วันที่ 22 พ.ค. 57 ฉะนั้นการนิรโทษกรรมคดีทุจริตประพฤติมิชอบ จึงกลายเป็นของแสลงสำหรับสังคมไทย และถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่สะท้อนว่าประเทศไทยไม่ต้องการเห็นการนิรโทษกรรม จากการกระทำความผิดการทุจริตคอร์รัปชัน

ส่วนการนิรโทษกรรมกระทำความผิดตามมาตรา 112 ความจริงมีความพยายามในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ต้องยอมรับความจริงว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายว่า เราจะนิรโทษกรรมเพื่อสร้างสังคมสันติสุข สังคมปรองดอง ถือเป็นดาบสองคม เพราะอีกคมหนึ่งแทนที่จะสร้างสังคมปรองดองอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกของสังคมครั้งใหญ่ขึ้นมาครั้งหนึ่งก็ได้ สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่มีการนิรโทษกรรมการกระทำความผิด มาตรา 110 และมาตรา 112 มาก่อน รวมทั้งล่าสุดในสภาฯ ชุดนี้ เราเพิ่งมีการพิจารณาผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรม ซึ่งคณะกรรมาธิการชุดนี้ขอความเห็นจากที่ประชุมใหญ่แห่งนี้ จึงเสนอ 3 ทางเลือกต่อการนิรโทษกรรม การกระทำความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112

1.ไม่มีการนิรโทษกรรม
2.นิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข
3.นิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไข

ตนเองได้อภิปรายไว้ว่า ถ้าผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการเป็นเช่นนี้ และสภาฯ ลงมติเห็นชอบก็อาจจะถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การนิรโทษกรรม การกระทำความผิดตามมาตรา 110 และ 112 ในอนาคตได้ สุดท้ายสภาฯ ลงมติไม่เห็นชอบกับผลการศึกษาและข้อสังเกต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ โดยลงมติ 270 เสียงไม่เห็นชอบ ต่อ 152 เสียง สะท้อนว่าสภาฯ นี้ก็เคยมีความเห็นชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม นอกจากคดีทุจริตและเป็นการกระทำความผิด มาตรา 110 และ 112

ส่วนที่วันนี้ได้มีการนำร่างนี้กลับเข้ามาสู่สภาฯ จำนวน 5 ฉบับ ถ้าไปดูอย่างตกผลึกเนื้อหาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ไม่นิรโทษกรรมคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่นิรโทษกรรมการกระทำความผิด มาตรา 112 การกระทำความผิดอาญาร้ายแรง ส่วนกลุ่มที่ 2 เนื้อหาก็แตกต่างกันออกไป

นายจุรินทร์ ขอยืนยันจุดยืนของตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ 2 ข้อ หากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทั้ง 5 ฉบับนี้ ฉบับใดเข้าข่ายในกรณีที่ตนเองได้อภิปรายไป ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้การสนับสนุน

Related Posts

Send this to a friend