‘ปานปรีย์’ หวังสถานการณ์เมียนมาสงบจะช่วยการค้าชายแดนดีขึ้น
‘ปานปรีย์’ หวังสถานการณ์เมียนมาสงบจะช่วยการค้าชายแดนดีขึ้น ย้ำรัฐบาลห่วงปัญหาค้ามนุษย์-สแกมเมอร์ อาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศแก้ปัญหา
วันนี้ (9 ก.พ. 67) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงพื้นที่ตลาดริมเมย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเมย ตรงข้ามกับอำเภอเมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เมื่อนายปานปรีย์ เดินทางมาถึงได้เยี่ยมชมตลาดริมเมย พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ประกอบการถึงการค้าในพื้นที่ พร้อมกับสอบถามว่าลูกค้าลดน้อยลงหรือไม่ หากสถานการณ์สู้รบในเมียนมาดีขึ้นจะทำให้การค้าชายแดนดีขึ้น
นายปานปรีย์ กล่าวว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อมาดูสถานการณ์ชายแดน ว่ากำลังประสบปัญหาในเรื่องใดบ้าง ซึ่งทางรัฐบาลมีความเป็นห่วงโดยเฉพาะในเรื่องการค้าขายในพื้นที่ชายแดน จังหวัดตาก ตนยังได้มีการมาดูพื้นที่ที่จะส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่ประชาชนชาวเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในประเทศที่มีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และคิดว่าพื้นที่จังหวัดตาก โดยเฉพาะอำเภอแม่สอด น่าจะเป็นพื้นที่ที่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการช่วยเหลือมนุษยธรรมให้กับประชาชนชาวเมียนมาได้
นายปานปรีย์ ระบุว่า สิ่งที่ทำในวันนี้เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเมียนมาที่มีความใกล้ชิดกัน และมีชายแดนติดกันกว่า 2,000 กิโลเมตร โดยเฉพาะจังหวัดตากประมาณ 530 กิโลเมตร สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาเป็นที่ทราบกันดีว่ามีผลกระทบต่อการค้าขายชายแดนเป็นอย่างมาก ฉะนั้นมีความประสงค์ที่จะให้เกิดสันติภาพในเมียนมา เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนขณะนี้มีความสงบสุข สามารถทำมาค้าขายได้อย่างเต็มที่
นายปานปรีย์ คาดหวังว่า หากเกิดความสงบสุขในเมียนมา จะทำให้การค้าของไทยมีมูลค่าการค้าที่เพิ่มขึ้นได้ เพราะได้ทราบข้อมูลจากการประชุมร่วมกับพาณิชย์จังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรม และประธานสภาหอการค้าจังหวัดตากว่า มูลค่าการค้าของจังหวัดลดน้อยลงไปจำนวนมาก เป็นกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ดังนั้นถ้าความสงบในเมียนมาสามารถกลับคืนมาได้ เชื่อได้ว่าจังหวัดตาก ซึ่งมีชายแดนติดกับเมียนมาจะสามารถฟื้นคืนในเรื่องการค้าการขายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ นายปานปรีย์ยังมีความเป็นห่วงถึงปัญหาอาชญากรรมในแนวชายแดน ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การใช้ระบบเทคโนโลยีสแกมเมอร์ หรือ Call Center ในพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชนคนไทย และส่งผลกระทบไปยังชาวโลกในหลายประเทศ ก็พยายามจะเข้ามาดูถึงปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไรและรัฐบาลไทยมีความเป็นกังวลในประเด็นนี้มาก
ขณะที่เรื่องการค้ามนุษย์สถานการณ์ดีขึ้นมาก ไทยมีความเข้มงวดในการค้ามนุษย์และไม่ประสงค์ที่จะให้เกิดขึ้น แต่ในต่างประเทศโดยเฉพาะฝั่งเมียนมา อาจจะยังควบคุมไม่ได้เต็มที่ แต่ก็มีความคาดหวังว่าการค้ามนุษย์จะหมดไป ตนจึงอยากฝากไปยังประชาชนชาวตากให้ช่วยกันขับเคลื่อน หากมีประเด็นใดที่อยากให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือหรือการสนับสนุน รัฐบาลก็มีความพร้อม จึงอยากมารับฟังปัญหาว่าขณะนี้มีปัญหาอะไรบ้าง แล้วอยากให้รัฐบาลสนับสนุนในเรื่องใดตนก็จะรับไป เพื่อกลับไปเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
นายปานปรีย์ ยังระบุอีกว่า ไทยให้ความสำคัญเรื่องสแกมเมอร์ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประเทศไทยจะทำได้เพียงประเทศเดียว เวลานี้เราพยายามทำอยู่ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และฝ่ายทหาร ทุกคนทราบถึงปัญหานี้และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกำจัด ไม่ใช่เฉพาะให้หมดไป แต่ต้องกำจัดให้พ้นจากแผ่นดินไทยไป ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว เพราะเทคโนโลยีข้ามประเทศแล้ว ยอมรับว่าการควบคุมได้ยากจึงต้องแก้ไขกันระหว่างประเทศ
ส่วนกรณีการช่วยเหลือประชาชนออกจากพื้นที่เมืองเล้าก์ก่าย นายปานปรีย์ กล่าวว่า สำหรับคนไทยที่ออกมาและทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ ประเทศไทยจะต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดและดำเนินการตามกฎหมายของประเทศไทย ส่วนชาวต่างชาติเราได้มีการพูดคุยกันในเรื่องคนที่ต้องเดินทางออกจากเล้าก์ก่ายมีทั้งคนดีและคนไม่ดี คนที่ดีมีศูนย์คัดกรอง ส่วนคนที่ไม่ดีส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง บางคนเดินทางมาไกลจากทวีปอื่นก็ยังมี ไม่ใช่เพียงในประเทศใกล้ชายแดนไทยเมียนมาเท่านั้น