POLITICS

นายกฯ แสดงวิสัยทัศน์ รีเซ็ตโครงสร้างประเทศ 3 มิติ ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม

นายกรัฐมนตรี แสดงวิสัยทัศน์ รีเซ็ตโครงสร้างประเทศ 3 มิติ ความมั่นคง – เศรษฐกิจ – สิ่งแวดล้อม ชี้ หากปรับตัวช้าจะสูญเสียอำนาจการต่อรองเวทีโลก มอง ที่ผ่านมาเดินตามหลังเวียดนาม ถือเป็นฝันร้าย ตั้งเป้าพาไทย ทวงคืนเป็นที่ 1 ในภูมิภาค ลั่น มั่นใจยิ่งกว่าพรรค ‘ภูมิใจไทย‘ อีก

วันนี้ (8 ต.ค. 68) เวลา 14:00 น. ที่โรงละครอักษรา คิงเพาเวอร์ ถนนรางน้ำ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “The Future Direction of Thailand : เมื่อโลกเปลี่ยน…ประเทศไทยไปทางไหน?” พร้อมประกาศผลและมอบรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 “CEO Econmass Awards 2025” โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568

จากนั้น นายอนุทิน กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” โดยในตอนหนึ่งว่า ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ คือ ช่วงเวลาที่พี่น้องประชาชนทุกคนกำลังตั้งคำถาม ว่า ประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ เราจะรอดหรือไม่จากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ปีหน้าจะเกิดวิกฤตอะไรอีก จะเลือกตั้งหรือไม่ก็ต้องตอบว่าเลือกแน่นอน เพราะต้องมีการยุบสภา และต้องยอมรับว่าโลกของเราทุกวันนี้อยู่ยากกว่าสมัยที่เราเป็นเด็ก และเติบโตขึ้นมา สงครามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม ระบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลต่อโลกอนาคต รวมถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีที่เรียกว่า AI ที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของโลก ทำให้ประเทศที่ปรับตัวช้า ไม่เพียงแต่สูญเสียทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า วันนี้เรามาคุยเรื่องการรีเซ็ทโครงสร้างประเทศ เราต้องปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์อนาคตอีกต่อไป และวางรากฐานใหม่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไป ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจ เราต้องทบทวนสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันว่า ยังจำเป็นหรือเหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่ แม้แต่พรรคการเมืองเอง ถ้าพรรคไหนไม่ปรับตัวก็ถูกเรียกว่าพรรคไดโนเสาร์แล้วล้มหายตายจากไป ดังนั้น ทุกระบบที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ล้วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลที่ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาลในขณะนี้ จะมีการรีเซ็ทด้านความมั่นคง เพราะก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินต่อไปได้ ความมั่นคงของประเทศต้องมีความชัดเจน ทั้งภายนอก และภายใน รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งการทูต ทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตพี่น้องประชาชน เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคตอันใกล้ นี่คือความคาดหวังและทิศทางที่เราต้องดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันเราต้องจัดการกับปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนประเทศควบคู่กันไปด้วย

ทั้งนี้ ตนได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกัน โดยยึดหลักนิติธรรมโปร่งใสเป็นธรรม กฎหมายของประเทศต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องหาทุกวิถีทางที่ต้องปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นต้นทุนแฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศของเรา

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก หากใครเข้าไปเป็นสมาชิกได้จะช่วยการยกระดับของประเทศ ซึ่งเน้นเรื่องกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ที่จะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลต้องยกเครื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กฎระเบียบต่างๆให้ได้มาตรฐานสากล

ต่อมา คือการรีเซ็ตด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลมุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ และส่งเสริมภาคเกษตรกร สนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีฟื้นตัว พร้อมกับเร่งมาตรการลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม

นอกจากนี้ รัฐบาลจะเสริมความมั่นคงทางการเกษตร และพลังงานด้วยแนวทาง Smart farming การสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ภาคครัวเรือน และภาคการเกษตร และการควบคุมราคาสินค้าทางการเกษตรให้มีความเหมาะสม

“เราต้องตั้งเป้าหมาย เพราะวันนี้เราตามเวียดนามถือว่าเป็นฝันร้าย โดยเฉพาะฝันร้ายของผม ที่ไม่เคยคิดว่าประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาค พวกเราต้องช่วยกัน เพราะเราเคยนำมาไกลมาก จนเราอาจรู้สึกอยู่ตัวแล้วจึงชะลอตัวลง หรือต่อต้านต่อการเปลี่ยนแปลง และมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แต่เผลอแปปเดียวเหมือนกระต่ายกับเต่า เราตื่นขึ้นมาเขานำหน้าไปแล้ว แต่เราอย่าเป็นเหมือนนิทานอีสป ดังนั้น เราต้องกระโดดให้ทัน ผมยังเชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถ และพื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทยที่วางรากฐานมาอย่างยาวนาน ผมยังมั่นใจว่า เรายังจะกระโดดขึ้นมาได้ทัน ซึ่งรัฐบาลจะเรียกความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้กลับคืนมาหากพวกเราทุกคนให้ความร่วมมือ” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อก่อนอายุ 75 แง้มฝาโลงแล้ว เดี๋ยวนี้ 90 ยังออกกำลังกายกันเป็นแถว เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เด็กเกิดใหม่น้อยลง เราเป็นสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ แต่จะต้องสูงวัยแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดี และจะต้องมีการหารือเรื่องการเกษียณอายุของราชการ ซึ่งเชื่อว่าภาคเอกชนคงมีการรองรับอยู่แล้ว เราจะไม่ปล่อยให้วิกฤตเด็กเกิดน้อยเป็นปัญหาของเราในอนาคต ทุกกระทรวงจะช่วยทำให้เด็กไทยเกิด และเติบโตอย่างมีคุณภาพ

นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้าย คือการรีเซ็ทด้านสิ่งแวดล้อม และดิจิทัล รัฐบาลตั้งเป้าหมาย เซ็ทซีโร่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 อีก 25 ปี อย่าคิดว่ายาวมันไม่นาน รัฐบาลจะผลักดันพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม และการเกษตร ให้ได้ตามเป้า เพื่อที่สินค้าของไทยจะได้รับการยอมรับในทุกๆ ประเทศ ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบทางการค้า และจะเร่งสร้างการเป็นรัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงระบบทั้งประเทศ ผลพลอยได้คือความโปร่งใสการตรวจสอบได้อย่างเป็นระบบ และจะเป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นด้วย

“ไม่มีรัฐบาลใดที่จะรีเซ็ตประเทศได้เพียงลำพัง แต่ต้องใช้พลังจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน แรงงาน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อสารมวลชน ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดระบบที่จะเปิดให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานเต็มที่ ผมอยากให้กลับมามองประเทศของเราด้วยสายตาที่เป็นมิตร ดีใจซึ่งกันและกัน มองกันตาปิ๊งๆ เราจะได้เห็นประเทศที่ไม่ใช่ประเทศไทยที่ต้องการฟื้นตัว แต่จะเป็นประเทศไทยที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน ต้องแซงเพื่อนบ้านให้ได้ ต้องเป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ ไม่เกินความสามารถผมยืนยันด้วยความมั่นใจ ผมมั่นใจกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทยของผมอีก และผมหวังเล็กๆว่าจะได้กลับมาร่วมงานนี้ได้อีกครั้งในปีหน้า“ นายอนุทิน กล่าว

Related Posts

Send this to a friend