‘พริษฐ์’ ชี้ นโยบายรัฐบาลเขียนกว้าง เป็นอาการของ ‘รัฐบาลผสม’

‘พริษฐ์’ ชี้ นโยบายรัฐบาลเขียนกว้าง เป็นอาการของ ‘รัฐบาลผสม’ ที่มีจุดยืนคนละทิศทาง ทำ ประชาชนเสียประโยชน์ เผยเป็นหนึ่งใน 30 ขุนพลก้าวไกล จ่อถามความชัดเจนเรื่อง “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่-การกระจายอำนาจ” หวัง ‘เศรษฐา’ ให้เกียรติสภามาตอบเอง และเข้าตอบกระทู้ถามสด
วันนี้ (8 ก.ย. 66) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่าตนเองเป็น 1 ใน 30 คนที่จะร่วมอภิปรายนโยบายรัฐบาล ‘เศรษฐา1’ ในวันที่ 11-12 ก.ย.นี้ ยอมรับว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกลกำลังจัดทัพอภิปรายอยู่ เพราะอยากให้ทั้ง 30 คน เมื่ออภิปรายแล้วครอบคลุมทุกประเด็นที่เป็นปัญหาพี่น้องประชาชนกำลังกระทบอยู่และครอบคลุมทุกนโยบายที่รัฐบาลควรจะมี
ส่วนตนเองได้รับผิดชอบนโยบายด้านการเมือง ซึ่งเน้น 2 เรื่องหลัก คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเห็นว่าข้อความในเอกสารนโยบายเขียนไว้กว้างมาก จะพยายามสอบถามความชัดเจนว่ารัฐบาลยังยืนยันไหมว่าจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และหากมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะใช้กลไกอะไร เพราะคำว่า ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)’ ก็หายไปจากเอกสารนโยบาย ก็คงเป็นการถามความชัดเจนว่าเป็น สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ส่วนอีกเรื่องคือการกระจายอำนาจ ที่ต้องยอมรับว่ากระทบทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จะเห็นว่ามีบางย่อหน้าในเอกสารมีการพูดถึงการกระจายอำนาจ แต่เป็นการพูดถึงกว้างๆ และปรากฏคำว่า ‘ผู้ว่าฯ CEO’ ซึ่งจะต้องถามรายละเอียดว่าหมายถึงอะไร แต่คำที่ไม่ปรากฏเลยคือคำว่า ‘ผู้ว่าฯ เลือกตั้ง’ เพราะฉะนั้นก็อาจจะมีนัยยะที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมตรงนี้เช่นกัน
นายพริษฐ์ ยอมรับว่านโยบายผู้ว่าฯ CEO ทำให้หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นการรวมอำนาจมากกว่าการกระจายอำนาจ หากผู้ว่าฯ CEO ที่รัฐบาลนี้หมายถึงคือการรื้อฟื้นผู้ว่าฯ CEO ในอดีต ต้องยอมรับว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ได้สอดรับกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แต่เป็นการปรับเรื่องกระบวนการแต่งตั้งหรือการจัดสรรอำนาจระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคมากกว่า เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถาม โดยเฉพาะหากนโยบายนี้มาทดแทนนโยบายพรรคเพื่อไทยที่เคยหาเสียงว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการในบางจังหวัด ก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงในทิศทางการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในอีก 4 ปีข้างหน้า
“เอกสารนโยบายที่เผยแพร่ออกมา มีรายละเอียดที่หายไปในภาพรวม เช่น การขาดตัวชี้วัดว่าจะประเมินความสำเร็จของนโยบายอย่างไร อย่างตอนหาเสียงเลยบอกว่าจะมุ่งให้เศรษฐกิจโตขึ้น 5% ต่อปี พอมาดูในเอกสารนโยบายก็ไม่ปรากฏตัวเลขที่จะมาวัดความสำเร็จของนโยบายได้ หรือนโยบายบางส่วน แม้จะมีหัวข้อ แต่ก็ไม่ปรากฏตัวเลข เช่น เรื่องค่าแรง ไม่ปรากฏตัวเลขว่าจะตังค์เป้า 600 บาทใน 4 ปีหรือ 400 บาทในปีแรกเหมือนตอนหาเสียง ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับการแถลงนโยบายของพรรคเพื่อไทยในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เขียนชัดเจนว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำ อย่างน้อย 300 บาท” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ ยังระบุถึงความแตกต่างในรายละเอียดการแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลเศรษฐาว่า มีรายละเอียดบางอย่างที่สำคัญแต่ตกหล่นไป เช่น เรื่องค่าแรง ที่เคยพูดชัดว่าตัวเลขคือ 300 บาท แต่รอบนี้เขียนเพียงค่าแรงที่เป็นธรรม ไม่ได้ระบุตัวเลข หรือเรื่องกรอบระยะเวลาในการดำเนินงาน ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ระบุในเอกสารชัดเจนว่าเป็นนโยบาย 4 ปีคือเต็มวาระของรัฐบาล หรืออีกนโยบายเป็นนโยบายที่จะทำในปีแรก ซึ่งแตกต่างกับรอบนี้ที่ระบุเพียงเป็นนโยบายระยะสั้น กลาง หรือยาว แต่ไม่ได้ระบุว่าระยะสั้นหมายถึงกี่เดือนหรือกี่ปี จะทำให้ประชาชนประเมินและคาดหวังได้ยากขึ้น ว่าจะได้นโยบายไหนเมื่อไหร่ เป็นรายละเอียดที่มีความสำคัญแต่ขาดหายไปในนโยบายรอบนี้
นายพริษฐ์ วิเคราะห์ว่าเหตุที่ทำให้นโยบายรัฐบาลออกมาในลักษณะนี้ เพราะเป็นอาการของรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองอาจที่มีจุดยืนหรือนโยบายที่ผ่านมา ไม่สอดคล้องกัน หรือไปคนละทิศกัน หากเป็นเช่นนั้นและยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้เร็ว ก็จำเป็นต้องเขียนไว้กว้างๆ เพื่อเพิ่มความยืนหยุ่น ให้ยังสามารถบริหารความเห็นต่างในรัฐบาล แต่คนที่จะเสียประโยชน์ตอนนี้คือประชาชน ที่ไม่ได้รับคำตอบในคำถามดังกล่าว
“การที่เอกสารนโยบายของรัฐบาลนี้ มีรายละเอียดสำคัญบางอย่างตกหล่นไป อาจเป็นอาการของการยังไม่ได้ข้อสรุปของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ ยังทิ้งท้ายว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีมารับฟังและตอบคำถามด้วยตัวเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้บริหารหลักคงต้องตอบคำถามหนักๆ อยู่แล้ว แต่หากเป็นคำถามที่เฉพาะรายกระทรวง ก็คาดหวังให้รัฐมนตรีว่าการประจำกระทรวงนั้นมาตอบด้วยตัวเอง
พร้อมฝากความคาดหวังว่า นี่จะเป็นครั้งแรกในอีกหลายๆ ครั้งที่นายกรัฐมนตรีเข้ามาในสภา มาตอบคำถาม จากผู้แทนราษฎร หากมีการตั้งกระทู้ถามสดแก่นายกฯ จึงคาดหวังให้นายกฯ ให้เกียรติสภามาตอบคำถามที่ผู้แทนราษฎรถามแทนพี่น้องประชาชน