POLITICS

‘ไอติม‘ ซักหนักงบปรับปรุงสภาฯ ถามหาผู้รับผิดชอบปมออกแบบที่จอดรถขัดข้อบัญญัติ กทม.

‘ไอติม‘ ซักหนักงบปรับปรุงสภาฯ ถามหาผู้รับผิดชอบปมออกแบบที่จอดรถขัดข้อบัญญัติ กทม.อ้างต้องสร้างที่จอดเพิ่ม ส่วนศาลาแก้ว-โรงหนัง 4D ยังไม่เห็นความจำเป็น จี้ เลขาสภาฯ หารือประธาน-รองประธาน 13 พ.ค.นี้

วันนี้ (8 พ.ค. 68) เวลา 09.30 น.คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมประชาชน ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน พิจารณาศึกษาผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

นายพริษฐ์ กล่าวว่าการประชุมในวันนี้ต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้ว จำเป็นต้องเชิญตัวแทนแต่ละสำนักที่เป็นเจ้าของโครงการทั้ง 15 โครงการมาชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งการพิจารณางบประมาณไม่ได้ดูเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย แต่ต้องดูเรื่องความสมเหตุสมผล และตรวจสอบพิจารณา เพราะเป็นคำถามที่คณะกรรมาธิการและประชาชนสงสัย ว่าการพิจารณางบประมาณควรจะมีความสมเหตุสมผลสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะขนาดนี้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาก เชื่อว่า สส.สัมผัสเรื่องนี้ได้จากการลงพื้นที่พบประชาชน ทั้งเรื่อง SMEs ล่มสลาย ค่าแรงขั้นต่ำไม่ขึ้น รวมถึงเรื่องกำแพงภาษี

ดังนั้นควรจะประหยัดงบประมาณ และอยากให้ตระหนักว่าภาพลักษณ์ที่ดีของรัฐสภาไม่ได้มาจากอาคารและความสวยหรูของรัฐสภา แต่มาจากการพิจารณากฎหมาย การตรวจสอบรัฐบาลความโปร่งใสในการดำเนินงานของสภาฯ และการใช้ภาษีอย่างคุ้มค่า ประชาชนสามารถฝากความหวังไว้กับสภาผู้แทนราษฎรให้สมกับที่เป็นสถาบันที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อสภาฯ เป็นหน่วยงานที่ชี้ขาด ว่าหน่วยงานไหนควรได้รับงบประมาณเท่าไร ถ้าเราไม่สามารถตรวจสอบงบประมาณงบประมาณของหน่วยงานของหน่วยงานเราเองได้ ก็จะสูญเสียความชอบธรรม ในการตรวจสอบหน่วยงานอื่น และสูญเสียความไว้วางใจจากประชาชน จึงอยากให้ยึดถือในเรื่องเหล่านี้

ทั้งนี้จากการพิจารณา 5 โครงการ ที่ไม่ได้รับการอนุมัติงบ เป็นภาพรวมการก่อสร้างที่มีการใช้ไปแล้ว 13,000 ล้านบาท และค่าควบคุมก่อสร้างอีก 400 ล้านบาท เหตุใดจึงต้องตั้งงบประมาณอีก จึงอยากให้ช่วยยืนยันว่า 15 โครงการที่ขอไปไม่มีอยู่ในแบบเดิม เพราะถ้าอยู่ควรจะเป็นงบประมาณที่ใช้การก่อสร้างตั้งแต่ต้น

นายประกาสิต จำเรือง ผู้อำนวยการสำนักอาคารสถานที่ ยืนยันว่าโครงการทั้งหมดที่เสนอไม่มีส่วนใดที่คาบเกี่ยวกับการก่อสร้างเดิม ส่วนการของบประมาณใหม่ เกิดขึ้นก่อนที่ตนเองจะเข้ามารับตำแหน่ง ในเดือน ก.พ.มีการพิจารณาจัดสรรกันไปแล้ว

ขณะที่นายพฤหัส ปราบปรี ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานบริหารจัดการและบริการสถานที่ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานอาคารสถานที่ ชี้แจงว่าหลังจากที่มีการตรวจรับงานยังเหลือเงินอีกก้อนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายกว่า 300 ล้านบาท เพราะยังมีบางประเด็นที่ต้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับจ้าง ซึ่งขณะนี้งบอยู่ที่สำนักงานการคลัง โดยเป็นเงินค่าคุมงานค่าจ้าง ค่าที่ปรึกษา จึงหักเงินก้อนนี้ไว้ให้กับที่ปรึกษาเป็นค่าเสียหาย และอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นคดีความส่วนความคืบหน้าว่า เรื่องนี้ดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้วตนเองไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่ฝ่ายกฎหมาย งบประมาณที่จอดรถและปรับปรุงศาลาแก้ว เป็นการปรับปรุงตามแบบ ทั้งห้องประชุมงบประมาณ ก็เป็นการปรับปรุงเพิ่มจากเดิม รวมถึงฉากหลังบัลลังก์ด้วย

ขณะที่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า เราจะต้องมีแบบอาคารเดิม ซึ่งในตอนที่ตนเองดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ ได้ขอแบบอาคารเดิมไปแล้ว ได้มาเป็นแบบวิศวกรรมอ่านแล้วไม่เข้าใจ เช่น เรื่องภาพหลังบัลลังก์ของเดิมเป็นอย่างไรไม่ทราบ กลับได้คำตอบมาว่าให้ไปขอข้อมูลจากชิโนทัย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ก่อสร้าง ทั้งที่ควรจะมีแบบเดิมตั้งแต่แรก และอีกเรื่องการจ่ายเงินที่ปรึกษา ที่ตนไม่เคยเห็นรายงานของที่ปรึกษามาก่อน

นายพฤหัส กล่าวตอบว่าหากต้องการแบบอาคารเดิมต้องขอกับเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรายงานของที่ปรึกษาด้วย นายพริษฐ์ ได้ถามถึงความจำเป็นของการของบประมาณทำโครงการอาคารที่จัดจอดรถเพิ่มเติม มูลค่า 1,522 ล้านบาทว่า จำเป็นแค่ไหน ทำไมถึงไม่พอแล้วตามแบบดั้งเดิมของอาคารใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีการคาดการณ์จำนวนอาคารจอดรถไว้เท่าใด เหตุใดจึงเปิดทำการไม่ถึง 5 ปี จึงจำเป็นที่ต้องเพิ่มจำนวนที่จอดรถ

นายอรุณ ลายผ่องแผ้ว ผู้อำนวยการสำนักรักษาความปลอดภัย กล่าวว่า เดิมเรื่องที่จอดรถขึ้นกับสำนักความปลอดภัย แต่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการศึกษา 3 คณะ เนื่องจากพื้นที่รัฐสภาเป็นอาคารขนาดขนาดใหญ่ มีพื้นที่ใช้สอยเกิน 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป ตามข้อบัญญัติของ กทม. ที่จอดรถ 1 คัน ต้องมีขนาด 120 ตารางเมตร จะต้องมีที่จอดรถหนึ่งคัน แต่แบบที่มีอยู่มีที่จอดรถไม่เพียงพอ มีช่องจอดเพียง 1,935 คัน เราเคยจัดหาและแก้ไขมาหลายวิธีคือการจัดหาพื้นที่บริเวณนอกรอบเพื่อเป็นสถานที่จอดรถชั่วคราว ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างยาก จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการคือ การใช้พื้นที่ด้านหน้าอาคาร 21 ไร่ เจาะลงไปที่ด้านล่าง ความลึก 11 เมตร ซึ่งจะได้ใช้พื้นที่อย่างเต็มศักยภาพจอดรถได้สูงสุด 4,600 คัน

ส่วนการบริหารจัดการที่จอดรถ แม้จะไม่ได้ล็อกช่องจอดให้สมาชิก แต่มีการล็อกพื้นที่ในวันประชุมวันจันทร์ วันอังคารให้ฝั่ง สว. ส่วนวันพุธ วันพฤหัสบดีล๊อกพื้นที่ให้ สส. 500

ด้านนายพริษฐ์ กล่าวว่าหากแบบผิดกฎหมาย ผู้รับผิดชอบต้องไม่ใช้ภาษีประชาขนในการแก้แบบ ถ้าแบบเป็นไปตามข้อข้อบัญญัติของ กทม. สัญญาเขียนว่าใครต้องรับผิดชอบ คนทำแผนหรือคนอนุมัติแผน นายปกาสิต กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้บริหารสมัยนั้น ตนเองมาบริหารทีหลังจึงไม่รู้ว่ารับแบบมาถูกหรือไม่ การก่อสร้างสร้างตามแบบอยู่แล้ว อย่างไรเชื่อว่ากรรมการคงจะตรวจรับตามแบบ แต่ที่พวกตนเองนิ่ง เพราะไม่รู้ในสิ่งที่ ท่านถาม

นายพริษฐ์ จึงขอให้ส่งเอกสารทั้งหมดให้คณะกรรมาธิการ ตรวจสอบว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมบอกว่า เราต้องยอมรับตรง ๆ ว่าการออกแบบผิดกฎหมายข้อบัญญัติ กทม. ที่จะต้องมี 3,500 ช่องจอด ตนเองยังติดใจเรื่องการโอนงบประมาณว่าใช้วิธีใด ถ้าเป็นโครงการใหม่ต้องขออนุมัติงบหรือต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ หรือ ครม.

ซึ่งนายเจษฎา และเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นเรื่องระเบียบรัฐสภา สามารถโอนงบประมาณได้ ทำให้นายพริษฐ์ ระบุว่าคณะกรรมการตามระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา (คบง.รส.) ซึ่งมีประธานสภาฯ เป็นประธานนั้น ต่ำกว่า พ.ร.บ.งบประมาณ

อย่างไรก็ตามในเวลา 15.00 น.นายพริษฐ์ แถลงข่าวผลการประชุมต่อสื่อมวลชน โดยตั้ง 2 ข้อสังเกต ได้แก่ 1.หลายปัญหาหลายโครงการสืบเนื่องเนื่องมาจากการแผนดั้งเดิมของอาคารรัฐสภามีปัญหา เราจึงต้องเร่งขอเอกสารเพื่อดูแผนดั้งเดิมโดยละเอียด 2.ที่มาของ 15 โครงการถูกชงมาจากส่วนราชการ และคณะกรรมการพิเศษโดยฝ่ายการเมือง

นายพริษฐ์ กล่าวถึงโครงการที่ได้มีการพิจารณา อาทิ โครงการพัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D จำนวน 180 ล้านบาท อนุมัติไปแล้วใน พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 69 หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดที่ทำให้คณะกรรมาธิการรู้สึกว่าโครงการคุ้มค่า เมื่อถามถึงความจำเป็นเพื่อต้อนรับประชาชนและนักศึกษา ก็ไม่สามารถตอบได้

ส่วนโครงการปรับปรุงศาลาแก้ว 123 ล้านบาท เป็นลักษณะทำนองเดียวกัน คำตอบวันนี้ไม่ได้เห็นว่าโครงการมีความจำเป็นเร่งด่วน เพียงแต่ชี้แจงในเอกสารว่าต้องการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและส่งเสริมภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทย นายปดิพัทธ์ ในฐานะอดีตรองประธานสภาฯ จึงให้ข้อมูลไปว่า แขกที่มาเยือนหลายคนตั้งคำถามว่ารัฐสภาไทย ทำไมถึงใหญ่ขนาดนี้ ใช้งบประมาณค่าไฟไปเท่าไร สะท้อนให้เห็นว่าอยากมีภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีนานาชาติ ความใหญ่หรือความอลังการของโครงสร้างอาคารรัฐสภาไม่สามารถวัดประสิทธิภาพในการทำงานได้

ขณะที่โครงการปรับปรุงห้องประชุม 118 ล้านบาท และโครงการฉากบัลลังก์ประธานสภาฯ 133 ล้านบาท เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยกระดับประสิทธิภาพการประชุม โดยสรุปเห็นข้อพิรุธในหลายโครงการ บางโครงการเราขอให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนำข้อสังเกตทั้งหมดไปหารือในที่ประชุมผู้บริหาร ในวันที่ 13 พ.ค.68 ซึ่งจะมีประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ เข้าร่วม โดยขอให้ที่ประชุมมีมติออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า หลังจากฟังข้อทักท้วงของคณะกรรมาธิการและประชาชนจะยุติการเดินหน้าโครงการอะไร มันไม่เพียงพอที่จะบอกว่าให้คณะกรรมาธิการวิสามัญไปตัดงบประมาณ เพราะหากยอมกับตรรกะแบบนั้น จะเป็นการสร้างบรรทัดฐาน หน่วยงานจะส่งโครงการที่ไม่สมเหตุสมผลเข้ามาได้ หวังพึ่งให้ สส.ปรับลดเองในชั้นกรรมาธิการ

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่าหากมีมติเป็นรายลักษณ์อักษร จะมีประโยชน์ 3 เด้ง ได้แก่ 1.ทำให้คณะกรรมาธิการวิสามัญตัดงบได้ง่ายขึ้น 2.คำยืนยันจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต แม้คณะกรรมาธิการวิสามัญตัดงบไปแล้ว แต่ผู้บริหารหน่วยงานจะใช้วิธีการโอนงบประมาณเหมือนกับค่าจ้างออกแบบอาคารที่จอดรถเพื่อรื้อฟื้นโครงการดังกล่าว แม้จะไม่ได้อยู่ในเอกสารของงบประมาณ 3คำยืนยันดังกล่าวจะทำให้เรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนต่อผู้บริหารสภาฯ ชุดนี้ได้

Related Posts

Send this to a friend