รอง มทภ.2 แจง 11 ข้อเท็จจริง “ช่องบก” ชี้กัมพูชาละเมิด MOU43 รุกล้ำอธิปไตย
วันนี้ (7 มิ.ย. 68) พลตรีณัฐ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงข้อเท็จจริง 11 ประการ เกี่ยวกับสถานการณ์ข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพื้นที่ช่องบก หรือที่รู้จักในชื่อ “สมรภูมิช่องบก” พร้อมเปิดเผยภาพถ่ายขณะเดินทางเข้าไปยังศาลาตรีมุข ก่อนที่จะถูกทหารกัมพูชาเผาทำลายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา
พลตรีณัฐ ชี้แจงถึงภูมิหลังของปัญหาว่า ไทยและกัมพูชามีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนมายาวนาน เนื่องจากยึดถือแผนที่คนละฉบับ โดยแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นผลจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส มีความคลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำจริงในหลายจุด ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองประเทศจึงได้เห็นพ้องร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดทำแนวเขตแดนที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย
สำหรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU43 ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้การทำงานของ JBC เป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีสาระสำคัญในข้อ 5 ที่ระบุว่าห้ามทั้งสองฝ่ายดัดแปลงสภาพภูมิประเทศตามแนวชายแดนที่อาจมีผลต่อแนวสันปันน้ำ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงดังกล่าวมาโดยตลอด ทั้งการขยายชุมชน สร้างกาสิโน และทำการเกษตรประชิดชายแดน ซึ่งเป็นการทำลายแนวสันปันน้ำ โดยฝ่ายไทยได้ประท้วงไปแล้วกว่า 400 ครั้ง แต่ได้รับการแก้ไขน้อยมาก ในขณะที่พื้นที่ฝั่งไทยเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้
เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เมื่อทหารกัมพูชาได้เผาศาลาตรีมุข ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ประสานงานและไปมาหาสู่กัน จากนั้นได้เคลื่อนกำลังพลรุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยของไทยบริเวณต้นพญาสัตบรรณประมาณ 150 เมตร และเริ่มขุดคูเลกซึ่งเป็นการทำลายแนวสันปันน้ำและละเมิด MOU43 โดยตรง ฝ่ายไทยได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและเจรจาขอให้ถอนกำลังออกไปหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล จนนำไปสู่การปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568
รองแม่ทัพภาคที่ 2 ยังได้โต้แย้งคำกล่าวอ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่าได้วางกำลังในจุดดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนมี MOU43 ว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นเช่นนั้น ตนเองคงไม่สามารถเดินผ่านจุดนั้นเข้าไปยังศาลาตรีมุขได้เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา พร้อมตั้งคำถามถึงท่าทีของกัมพูชาที่พยายามจะนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ทั้งที่ทั้งสองประเทศมีกลไก JBC ในการแก้ไขปัญหาร่วมกันอยู่แล้ว
พลตรีณัฐยังระบุอีกว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงเสริมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง และพยายามจะขยายกำลังเข้าควบคุมพื้นที่อื่นๆ ที่เดิมเป็นป่าเขาและไม่มีการวางกำลังของทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากฝ่ายไทยต้องนำกำลังเข้าไปวางเพื่อป้องกันอธิปไตย ก็จะนำไปสู่การเผชิญหน้าโดยไม่จำเป็น พร้อมทิ้งท้ายด้วยการเรียกร้องให้มีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพราะกติการะหว่างสองประเทศมีอยู่แล้ว หากเรื่องไปถึงศาลจะทำให้คนรุ่นหลังเป็นปรปักษ์กันตลอดไป ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด