POLITICS

‘ชัยวัฒน์’ แจ้ง ป.ป.ท. ผิดมาตรา 157 หลังชี้มูลความผิดโดยไม่แสวงหาพยานหลักฐาน

‘ชัยวัฒน์’ แจ้ง ป.ป.ท. ผิดมาตรา 157 หลังชี้มูล ‘เผาบ้านปู่คออี้’ โดยไม่แสวงหาพยานหลักฐาน จนเป็นเหตุให้ตนพ้นจากราชการ

วันนี้ (7 ก.พ.66) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) เดินทางมาที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จำนวน 12 คน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังชี้มูลความผิด เผาทำลายทรัพย์สินชาวบ้านบางกลอยในป่าแก่งกระจาน จนเป็นเหตุให้ตนเองถูกปลดออกจากราชการ

พร้อมกับแจ้งความเอาผิดกับปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี ที่ 7/2563 ในฐานความผิดมาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคสอง กระทำการจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ กรณีที่ตนเองถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง เพื่อกดดันให้ออกจากราชการอีกครั้ง หลังออกมาร้องเรียนปัญหาทุจริตโครงการปลูกป่าที่บ้านโป่งลึก-บางกลอย ของนายสรัชชา สุริยกุล ณ อยุธยา พี่ชายของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ข้อความตอนหนึ่งในเอกสารคำร้องทุกข์กรณีเผาทำลายทรัพย์สินชาวบ้านบางกลอย ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ท.ไม่ได้ทำการไต่สวนตรวจสอบหาพยานหลักฐาน ไม่เข้าดูสถานที่เกิดเหตุ ไม่นำผู้เสียหายเข้าชี้ที่เกิดเหตุไ ม่มีภาพถ่ายร่องรอยการเผา ในสถานที่เกิดเหตุ ไม่มีประจักษ์พยานแต่รับฟังข้อเท็จจริงจากเพื่อนบ้านที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ อีกทั้งศาลปกครองรับฟังเพียงแต่พยานหลักฐานที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ซึ่งคำให้การของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ไม่ได้ระบุไว้บ้านตั้งอยู่ตรงที่ใด มีกี่เพิงพัก หรือมีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพราะข้อเท็จจริงถูกปั้นแต่งเพื่อหวังผลประโยชน์ในชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรมที่แท้จริง การชี้มูลจึงไม่มีผลผูกพัน และตนเองไม่ได้เป็นคู่ความในคดี เพราะ ป.ป.ท.ไม่มีการแสวงหาพยานหลักฐานใด ๆ ให้ได้ข้อยุติก่อนจะชี้มูลความผิด

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังออกมาเปิดเผยเรื่องซองเงินบนโต๊ะทำงานของนายรัชฎา กลับกลายเป็นอยู่ในสังคมยาก ถูกกดดันทุกเรื่อง และทำงานลำบาก อยากให้ทุกเรื่องที่อยู่ใต้โต๊ะเอามาอยู่บนโต๊ะ ตีแผ่ให้สังคมเห็น ส่วนตัวอยากทำงาน ไม่อยากทะเลาะกับใครในกระทรวงฯ ส่วนกรณีที่นายรัชฎา ยื่นฟ้องกลับต่อศาลอาญานั้น มองว่าเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา สังคมรับรู้ว่าเป็นเรื่องแก้เกี้ยว ไม่ได้กังวลใจอะไร เชื่อในพยานหลักฐานที่มี ส่วนหนังสือสนเท่ห์ในกระทรวงฯ ที่โจมตีตนเอง กรณีถูก ป.ป.ท.ชี้มูลความผิด ก็เหมือนการดิสเครดิต

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้ยังมีเรื่องการเรียกเก็บโดยบริวารของอดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ เหตุเกิดหลังปีใหม่ มีคลิปเสียงเรียกเก็บเงิน มีหลักฐานชัดเจน ส่วนตัวยังไม่ได้คุยกับอธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่ ขอให้ท่านตั้งใจทำอย่างที่พูด ต้องรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติอย่าขายวิญญาณ

“ขอให้รอกลางเดือน เดี๋ยวจะมีเคสใหญ่กว่านี้ สะเทือนไปทั้งประเทศ สื่อมวลชนอาจรับไม่ได้ ผมคงออกมาเดินนำหน้า หากวันนี้ผมรักษาป่า สัตว์ป่าไม่ได้ ป่าสูญเสีย สัตว์ล้มตาย มีคนชาวงชิงทรัพยากรอยู่ ผมออกมาอยู่แล้ว”

Related Posts

Send this to a friend