POLITICS

‘พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์’ สวน ผบ.ตร. ยันถูกตั้งวินัยไม่เป็นธรรม

ซัดกลับเลือกปฏิบัติ แฉซ้ำเส้นเงินเว็บพนันเอี่ยว ตร. – นายตำรวจใหญ่ ย้ำรักองค์กร แต่ต้องปราบคนที่ทำให้เสื่อมเสีย

วันนี้ (6 พ.ย. 68) พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ ว่า นอกจากการให้ข้อมูลต่อ กมธ. แล้ว ตนเองยังได้ยื่นเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องเส้นเงิน การรับผลประโยชน์จากเว็บพนันของตำรวจ ประมาณ 30 กว่าคน เพิ่มเติม จากที่ก่อนหน้านี้ กพค.ตร. (คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิทักษ์และคุ้มครองระบบคุณธรรมของข้าราชการตำรวจ) เคยชี้มูลไปแล้ว ซึ่งเอกสารชิ้นนี้ เมื่อวานตนเองถูก พลตำรวจเอก วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ ตำหนิว่าเหตุใดมีข้อมูลแล้วจึงไม่นำมาให้ ขอชี้แจงผ่านสื่อฝากไปยัง พลตำรวจเอก วินัย ว่าข้อมูลเรื่องนี้ตนเองเคยมีหนังสือไปถึง พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2567 แล้ว

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนเองยังได้นำเอกสารเส้นเงินเว็บพนัน ที่จ่ายไปยังชุด PTC เป็นชุดทำงานที่ถูกแต่งตั้งมาเพื่อปราบปรามเว็บพนัน ซึ่ง พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ อยู่ในชุดทำงานนี้ด้วย ซึ่งจะไปเกี่ยวพันกับ สส. ช. เพราะเป็นเส้นเงินที่เชื่อมโยงกันยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองยื่นไป โดยเฉพาะเรื่องเส้นเงิน ตนเองให้ความยุติธรรม ซึ่งไม่เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นจะรับเงิน แต่ในเมื่อวันนี้ตนเองไม่ใช่ตำรวจ เป็นประชาชนที่จ่ายภาษี จึงมีสิทธิ์ยื่นต่อ กมธ. ให้ตรวจสอบ หากผลเป็นจริงตามที่ร้อง หมายความว่าท่านมีหน้าที่ปราบปราม แต่กลับรับเงินเสียเอง

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ระบุว่า ด้านนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ได้เปิดเผยข้อมูลนี้เช่นกัน แต่รายละเอียดในเรื่องเงินต่าง ๆ มีการโอนเงินไปยังข้าราชการตำรวจบางคน ร้อยกว่าครั้ง และในนั้นยังมีการโอนเงินไปให้ภรรยา พี่ชาย พี่สาว ของบิ๊ก ต.เต่า โดยแสดงให้เห็นว่าบิ๊ก ต.เต่าเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายทุกเรื่อง

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีเรื่องข้อสอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตนยื่นร้องต่อ กมธ. แล้วนั้น ขอยืนยันว่าตนไม่ได้โกงข้อสอบ และไม่ได้มีพยานหลักฐานใด ๆ มาถึงตนเองด้วย ถึงแม้ผู้ดูแลข้อสอบของจุฬาฯ จะมีการนำเอกสารมาให้กับตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องของตนเอง แต่ข้อสอบดังกล่าวตนเองไม่เคยได้รับ และไม่เคยถูกเปิดด้วยซ้ำ

อีกทั้ง การตั้งคณะกรรมการวินัยนั้น จะต้องดำเนินการก็ต่อเมื่อกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาในคดีอาญา แต่กรณีนี้ตนยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา และไม่ได้ถูกดำเนินคดีในคดีอาญา แต่กลับถูกตั้งคณะกรรมการวินัย มองว่าไม่เป็นธรรมกับตน เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ

ส่วนการประชุมในภาคบ่าย จุดเริ่มต้นเกิดจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เรื่องตั๋วหนู มีการแต่งตั้งนายตำรวจข้างกายคนหนึ่งของนายกรัฐมนตรี ยศพลตำรวจโท ซึ่งเกี่ยวข้องกับผับจินหลิง และตู้ห่าว ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ถูกตนเองดำเนินคดี และคดีอยู่ใน ป.ป.ช.

ส่วนกรณี พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ ตำหนิ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กรณีคำพูดว่าตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่ระบุว่า คำพูดดังกล่าวรุนแรงเกินไป เป็นคำพูดที่ทำให้ตำรวจเจ็บช้ำ ในประเด็นดังกล่าว พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตอนนี้สังคมมองว่าตำรวจไม่ได้ทำดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ – เว็บพนัน ซึ่งการที่ตนเองพูดถึงว่าตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรม ไม่ได้เหมารวมถึงตำรวจทั้งแผ่นดิน แต่พูดถึงตำรวจบางกลุ่ม โดยเฉพาะตำรวจไซเบอร์ ที่มีหน้าที่ปราบปรามเว็บพนัน แต่สุดท้าย ตำรวจบางรายรับเงิน มีผลประโยชน์จากเว็บพนัน ซึ่งตำรวจเพียงหยิบมือเดียวทำให้ตำรวจกว่า 2 แสนคน ต้องเสียหาย สิ่งที่ ผบ.ตร. ควรทำ คือรีบแก้ไข และจัดการปัญหาดังกล่าว ไม่ใช่มาพูดโต้แย้งกับตนเอง พออธิบายกับสังคมหรือตอบคำถามกันไม่ได้ ก็พยายามจะเอาตำรวจทั้งประเทศมาพูดให้เกลียดชัง ซึ่งก่อนหน้านี้ในเรื่องของเส้นเงินจากเว็บพนันไม่มีมาแตะตนแม้แต่เส้นเดียว ตนถูกให้ออกจากราชการ แต่ตำรวจบิ๊ก ต.เต่า มีเส้นเงินโอนเข้าคนใกล้ชิดร้อยกว่าครั้ง กลับไม่ถูกดำเนินการใด ๆ มองว่า ผบ.ตร. เลือกปฏิบัติ

ส่วนกรณีที่ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ ให้สัมภาษณ์สื่อ กล่าวถึงวลี คนบ้านปทุมวัน ไม่ควรทำร้ายบ้านตัวเอง คิดว่าหมายถึงใคร พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หมายถึงตนเองแน่นอน เพราะตนเองเป็นคนบ้านปทุมวัน ท่านจะเกลียดตนเองไม่เป็นไร หากรักองค์กรจริง ท่านจะต้องปกป้อง รักษาองค์กร ช่วยกันปราบปรามผู้ที่ทำให้องค์กรเสื่อมเสีย

Related Posts

Send this to a friend