นายกฯ พอใจ มท1.แก้ความยากจนแบบพุ่งเป้า สำเร็จแล้ว กว่า 2 หมื่น ครัวเรือน
วันนี้ (6 ส.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามข้อสั่งการในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งรัฐบาลเน้นย้ำ ให้ทุกหน่วยงานทำงานแบบพุ่งเป้า เพื่อพี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า ในส่วนของ “มิติความเป็นอยู่” ซึ่งมีจำนวน 147,503 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ประสบปัญหาในเรื่องครัวเรือนไม่มีความมั่นคง ที่อยู่อาศัยและบ้านมีสภาพไม่คงทนถาวร ครัวเรือนจัดบ้านเรือนไม่ถูกสุขลักษณะ และมีน้ำอุปโภค บริโภคไม่เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ มีจำนวนครัวเรือนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว 20,649 ครัวเรือนโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จดังข้างต้นเป็นการบูรณาการการทำงานกับภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงดึงศักยภาพของพื้นที่ สนับสนุนงบประมาณในการสร้าง และซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เช่น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการสร้างบ้าน เป็นเงิน 16,600,000 บาท จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดตั้งกองทุน “ซ่อมบ้าน สร้างรอยยิ้มให้ครัวเรือน คนเชียงใหม่”
สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้องค์กรสตรี จัดกิจกรรม “รวมพลังสตรีแก้จนคนนคร” ในการหาทุนสร้าง ซ่อมบ้านให้ครัวเรือนยากจนในจังหวัด ส่วนจังหวัดชัยนาท “ชัยนาท วัด รัฐ ราษฎร์ กาชาดร่วมใจ ขจัดปัญหาจากความยากจน” โดยมี หน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบการปรับปรุง ซ่อมแซม/ก่อสร้างบ้านให้ครัวเรือนเป้าหมายในระบบ TPMAP ได้ดำเนินการครบ 121 หลัง และจังหวัดชัยภูมิ “ชัยภูมิ เมืองแห่งความสุข” ดำเนินการก่อสร้างบ้านให้ครัวเรือนเป้าหมาย TPMAP เสร็จแล้ว จำนวน 103 หลัง“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นลำดับต้นๆ ของการทำงานเสมอมา รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ปัญหานี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับหน้าที่ และจะทำต่อไป อย่างต่อเนื่อง ขอบคุณ และชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงาน นายกรัฐมนตรีย้ำความสามัคคีของทุกหน่วยงาน ทุกคน หากร่วมมือกัน จะแก้ไขปัญหาความยากจนในชาติได้สำเร็จ เพื่อคุณภาพชีวิตและความสุขของประชาชน” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว