นายกฯ เปิดงาน เดือนแห่งสุขภาพใจ เผย เป็นเรื่องดีให้สังคมเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น
นายกฯ เปิดงาน เดือนแห่งสุขภาพใจ ’Mind Month‘ เผย เป็นเรื่องดีให้สังคมเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น บอกการพบแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลก ขอ คนรอบข้างรับฟัง เข้าใจซึ่งกันและกัน
วันนี้ (6 พ.ค. 68) เวลา 14.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานเดือนแห่งสุขภาพใจ ’Mind Month‘ ภายใต้แนวคิด สุขภาพใจเป็นเรื่องของผู้คน ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตัวแทนเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานว่า ในโอกาสนี้ เรามารวมตัวกันในการเปิดกิจกรรมเดือนแห่งสุขภาพใจ ตนเองรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานในวันนี้ ที่จริงแล้วสุขภาพจิต สุขภาพใจ เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่มักถูกมองข้ามไป ในส่วนตัวตนเองแล้ว ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อเรามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ถ้าสุขภาพจิตเราไม่แข็งแรง ก็จะทำอะไรต่าง ๆ ต่อไปนี้ในชีวิต ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยาก หรือถ้าใจเราไม่มีความสุข หรือไม่มีจุดความสงบ การทำเรื่องต่อไปในชีวิต ก็จะเป็นไปได้ยาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เมื่อสักครู่เมื่อ ตนเองชมบูธด้านนอก รู้สึกประทับใจมากที่ตอนนี้ประเทศไทยได้หันมามุ่งเน้นในการช่วยน้อง ๆ เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังเป็นอนาคตของชาติในอีกไม่กี่ปี ให้เขาได้มีการรู้วิธีการดูแลจิตใจตัวเอง และเข้าปรึกษาหาแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น อย่างที่ทราบดี ตนเองมีลูกเล็กอยู่สองคน ก็รู้สึกว่าเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา เพราะอย่างน้อย ๆ เราเป็นแม่ ไม่ว่าจะเป็นแม่มานานแค่ไหน บางคนอาจเพิ่งตั้งท้องก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญคือการที่เราให้เวลาหรือให้การรับฟังลูกของเรา ตนเองงานยุ่ง อาจไม่ได้มีเวลามาก แต่เมื่อมีเวลาก็พยายามรับฟังเขามากกว่าการที่จะสอน ตั้งใจฟังลูกเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อตั้งใจฟังจริง ๆ แล้วก็เป็นหัวใจว่าเด็กต้องการสื่ออะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กก็ได้ ผู้ใหญ่เองเมื่อมีปัญหา เมื่อมีคนที่รับฟังพร้อม ที่จะเข้าใจ ยังไม่มีทางออกก็ดีขึ้นได้ เพราะรู้สึกมีคนที่รับฟังเราได้ ก็เป็นการปลูกฝังให้น้อง ๆ ฝึกที่จะสื่อสาร และให้ผู้ใหญ่ฝึกที่จะรับฟัง ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอนในอนาคต
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องของสุขภาพกายหลายท่านที่ใกล้ชิดกับคุณหมอ เมื่อคนไข้มีกำลังใจที่ดี เราจะสามารถผ่านวิกฤติเรื่องสุขภาพไปได้ดีด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เมื่อมาคู่กัน ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ เราเองก็ต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนด้วยว่าสุขภาพจิต สุขภาพใจ การเข้าพบแพทย์ หรือการเข้ารับคำปรึกษาไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ได้แปลว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นการที่เราเริ่มจะรู้ตัวเองว่าเราต้องดูแลตัวเองอย่างไร เหมือนตอนที่หิวอาหาร ต้องรู้ว่าต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาสภาพจิตใจ เราจะสามารถทำให้เรื่องนี้ปกติมากยิ่งขึ้น และแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ให้คนมีทางออกว่าในชีวิตแต่ละคน มีกระบวนการตัดสินใจที่อาจไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้ามีทางออกมีที่พึ่ง เราก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ และมุ่งมั่นในเรื่องนี้อย่างเต็มที่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองไปพบผู้ประสบภัยน้ำท่วมแถวภาคเหนือเมื่อปีที่ผ่านมา ก็ได้ปรึกษารัฐมนตรีว่าจะมีทางไหนที่ช่วยเหลือด้านจิตใจด้วย โดยอาจมุ่งเน้นไปที่สภาพความเป็นอยู่ และอาหารการกิน แต่หลังจากนั้น เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่มันกระทันหัน ต้องสูญเสียบ้านที่อยู่ เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก เพราะฉะนั้น เรื่องจิตใจนี่แหละ ที่ต้องถูกเยียวยาด้วย รัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และอยากให้น้องน้องโตขึ้นไปอย่างแข็งแรงทั้งร่างกาย และจิตใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า วันนี้มีตัวเลขที่เราเน้นในเรื่องของระบบสาธารณสุขที่ต้องส่งเสริมต้องการดูแลฟื้นฟู จะเห็นได้จากนโยบายสำคัญด้านสุขภาพจิตที่จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งในปีนี้จะครอบคลุมคนไทยทุกช่วงวัยมากกว่า 13.5 ล้านคนโดยเฉพาะนโยบายสำคัญอย่างการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต 37 แห่งภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และขยายเป็น 340 แห่งภายในสิ้นปีนี้ก็จะทำให้พี่น้องประชาชนกว่าล้านคนได้รับการปรึกษา และได้รับการดูแลก่อนที่จะมีอาการเจ็บป่วยทางใจ
เด็กตัวเล็ก ๆ โตขึ้นมาในวัยรุ่น มหาวิทยาลัย การที่จะล้ม และเริ่มขึ้นมาใหม่อย่างแข็งแรง ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ก็สนับสนุนตรงนี้อย่างเต็มที่ และจะมีกิจกรรม และโครงการต่าง ๆ อีก 50 เรื่องที่เริ่มต้นในเดือนแห่งสุขภาพใจนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามภาครัฐที่จะทำให้คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดี และให้สังคมไทยหันมาสนใจ และพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตได้อย่างเปิดเผย อย่างที่บอกว่าเมื่อเรื่องนี้เป็นไปอย่างแพร่หลายแล้ว คนที่เข้าหา และได้รับคำปรึกษา จะไม่ได้คิดว่าตัวเองดีไม่พอ หรือเป็นอะไรแต่เป็นการดูแลตัวเองอย่างหนึ่งที่สำคัญ ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า จุดเริ่มต้นของจิตใจที่เข้มแข็งมาจากครอบครัวที่เปิดใจรับฟัง และเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ให้กัน
”ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพจิตทางกาย ทางใจ คนในครอบครัว คนรอบข้างรับฟังอย่างเข้าใจ อย่าด่วนตัดสิน อย่ารีบให้คำปรึกษาในการตั้งใจรับฟังเป็นสิ่งเริ่มต้นที่ดีที่สุด และที่สำคัญอย่าลืมดูแลจิตใจของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และขอให้เดือนนี้เป็นเดือนแห่งสุขภาพใจเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมไทยที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน และพร้อมเดินทางไปข้างหน้าร่วมกันอย่างมีความสุข“ นายกรัฐมนตรี กล่าว
ต่อมา เป็นการเสวนาตอบคำถามจากตัวแทนกลุ่ม ซึ่งถามว่า จะทำอย่างไรเมื่อเจอกับความคาดหวังจากทางตัวเองและคนรอบข้าง โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สุดท้ายแล้วการปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด เด็ก ๆ อายุ 5 – 7 ขวบ ตามแนวทางของตนเอง เมื่อครอบครัวเข้มแข็ง แข็งแรงเป็นหลังพิงของกันและกัน เป็นสิ่งที่ทำให้เราไปต่อได้ยาว ๆ เด็กตัวน้อย ๆ ไม่ได้สนใจกระแสสังคม เรานี่แหละที่สนใจกระแสสังคม เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรให้ลูกรู้สึกได้ว่าเขาปลอดภัย เพราะถ้าพ่อแม่มั่นคง ถ้าคาดหวังลูก ๆ เขาจะทำได้หรือเปล่า ไม่ทราบ แต่แน่นอนว่าจะเสียกำลังใจ เหมือนเราให้ของเล่นสองขวบกับแปดขวบ ระยะห่างมันมากเกินไปต้องคาดหวังไว้ และตามอายุถ้าเขารู้ว่าแม่กับพ่อยังเปิดโอกาส และเข้าใจเขาเสมอ กระแสสังคมเขายังไม่ได้สนใจ แต่ตัวเราเอง แม้เราจะอยู่ในสาธารณะมากขึ้น เราก็ต้องพยายามมีสติอยู่เสมอว่าวันนี้ทำเพื่ออะไร เป้าหมายในชีวิตคืออะไร และความคาดหวังนั้นจะนิ่งขึ้น เหมือนสุดท้ายแล้วการดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ จะหลงอะไรกับข้างทาง อยากให้คนเข้าใจจิตวิทยามากขึ้น ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นใช่หรือไม่ บวกหรือลบไปต่อได้หรือไม่ ถูกทางหรือเปล่า ตามความตั้งใจแรกของเรา ตนเองเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพ่อแม่มีความตั้งใจที่แน่วแน่ และเข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็นเสมอ ไม่ว่าจะโดนใครตัดสินจากสังคม แต่สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเขาดีคือคุณแม่ หรือคุณพ่อที่เข้าใจเขา นั่นคือกำลังใจทั้งหมด เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กสร้างจากตรงนี้ได้วันนึงที่เขาเข้าใจกระแสสังคม แล้วเขาจะแข็งแรงขึ้น และรู้ว่าใจเขานิ่งได้เพราะมีฐานที่มั่นคง
ด้านตัวแทนอีกคน ได้ถามนายกรัฐมนตรีว่า จะทำอย่างไรให้คนในสังคมเข้าใจ ในเรื่องของการสมรสเท่าเทียมและมีลูก โดยนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ความรักทุกรูปแบบ เป็นเรื่องที่ดีไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างกัน หรือความรักจากพ่อและแม่มาให้ลูก ไม่ว่าจะโตมากับใครก็ตาม เขาเข้มแข็งได้และเป็นคนที่ดีต่อสังคมได้เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงคู่รักแบบอื่น หรือความสัมพันธ์ในครอบครัวแบบอื่น เพราะเขาก็เป็นคนสำคัญของประเทศชาติ และโลกได้ เพราะมีความรักที่มั่นคง
“มนุษย์ต้องการความรักที่รู้สึกมั่นคงไม่ว่าจะจากใครคนใดคนหนึ่งที่เลี้ยงมา และรักเราจริง ๆ ตอนนี้คิดว่าสองคนรักกันทราบดีอยู่แล้วว่าความรักนี้จริงหรือไม่ มีประโยชน์มีคุณค่ามีความหมายต่อชีวิตของท่านเองมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น คนเรายังชอบสีไม่เหมือนกันเลย คนเราชอบไม่เหมือนกันตนเองถ้าจะพูดในมุมมองถ้าวันนึงลูกของดิฉันเลือกทางไหนก็ตามที่เขามีความสุขแล้วรู้จักว่าผิดพลาด แล้วลุกขึ้นมาได้ โดยไม่จมไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดิฉันจะคิดเลยว่าลูกนั้นเก่งมาก”
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า การทำให้ตัวเองล้มแล้วลุกขึ้นได้ และเดินต่ออย่างแข็งแรงได้นั้น ตนเองว่าเก่ง เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถควบคุมอะไรในอนาคตได้ ไม่สามารถควบคุมแม้กระทั่งคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเราได้ เพราะฉะนั้น ความคิดของคนในสังคมที่มีมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย แต่ก็จะมีเรื่องที่ชอบ และไม่ชอบตลอดไป ดังนั้น การรักกันในครอบครัว และเป็นที่พึ่งของกันและกันคือรากฐานที่สำคัญที่สุด ที่ไม่ว่าจะโตขึ้นอายุเท่าไหร่อาชีพอะไรชีวิตจะเปลี่ยนยังไงก็จะมีความมั่นคงในส่วนอื่นเพราะฉะนั้นเราโฟกัสในคนของเราว่าเราทำให้กันและกันเข้มแข็งได้ไหม












