POLITICS

เปิดรายชื่อ คกก. กคพ. ใครลงมติอย่างไรในการพิจารณารับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ

เปิดรายชื่อคณะกรรมการ กคพ. ใครลงมติอย่างไรในการพิจารณารับคดีฟอกเงินจากการฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ ขณะที่แหล่งภายใน เผยสาเหตุ รับสอบสวนความผิดฐานฟอกเงิน

วันนี้ (6 มี.ค. 68) ผูัสื่อข่าวรายงานผลการลงมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ทั้ง 18 คน จากทั้งหมด 22 คน เพื่อพิจารณาเรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้ไปด้วยสุจริตและเที่ยงธรรม ที่รับคดีฟอกเงิน จากการฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ

โดยคณะกรรมการคดีพิเศษที่ลงมติรับเป็นคดีพิเศษ ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธาน กพค. ,พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม, พล.อ.พิสิษฐ์ นพเมือง เจ้ากรมพระธรรมนูญ, นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, นางดวงตท ตันโช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ, นายชาติพงษ์ จีระพันธุ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย, นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย, นางทัชมัย ฤกษะสุต ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย และนายปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินธนาคาร

ส่วนคณะกรรมการคดีพิเศษที่ลงมติไม่เห็นด้วย ประกอบด้วย นายนพดล เกรีฤกษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา), นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมาย (ผู้แทนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย), นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง (ผู้แทนปลัดกระทรวงมหาดไทย) และ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปราบปรามผู้มีอิทธิพล

ขณะที่คณะกรรมการที่ลงมติงดออกเสียง ประกอบด้วย นายณรงค์ งามสมมิตร ที่ปรึกษากฎหมาย (ผู้แทนปลัดกระทรวงพาณิชย์), นางเยาวลักษณ์ นนทแก้ว อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ (ผู้แทนอัยการสูงสุด) และนายอรรถพล อรรถวรเดช ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (ผู้แทนปลัดกระทรวงการคลัง)

ส่วนนายเพ็ชร ชินบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ มีรายงานว่า มาลงชื่อเข้าประชุม แต่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม และลงมติ

ส่วนสาเหตุว่าทำไมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) จึงมีมติ 11 เสียงให้รับคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ในคดีฮั้ว สว.ไว้เป็นคดีพิเศษเพียงฐานความเดียวนั้น แหล่งข่าวภายใน เปิดเผยว่า เนื่องด้วยกรรมการได้มีการยกข้อหารือเมื่อการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าในลักษณะของคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ถือเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ให้เป็นคดีพิเศษได้ด้วยอำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือเสียงเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่มี โดยเฉพาะถ้าเป็นการชี้ขาดว่าให้เป็นความผิดฐานฟอกเงินทางอาญา แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพราะเข้าเงื่อนไขกรณีที่มีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อยู่แล้วนั้น จะเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องอาศัยมติบอร์ด

ซึ่งจากรายงานการสืบสวนของดีเอสไอ และการสอบปากคำพยาน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการใช้เงินเกี่ยวกับขบวนการเลือก สว.67 มากเกิน 300 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว. ระดับอำเภอ และต่อเนื่องไปจนถึงหลังจบการเลือก สว. ระดับประเทศ ทั้งยังหมายรวมถึงการเตรียมทรัพย์สินไว้สำหรับใช้กระทำความผิด ทั้งการใช้หรือผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาด้วย จึงได้มีการวินิจฉัยในวันนี้ของกรรมการให้รับคดีฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ ด้วยมติชี้ขาด 11 เสียง จากทั้งหมด 18 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ส่วนการสอบสวนคดีพิเศษหลังจากนี้ ทาง พ.ต.ต.ยุทธนา จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อการทำสำนวนคดี

แหล่งข่าวภายใน ระบุอีกว่า ส่วนหลังจากนี้หากมีการสอบสวนขยายผล แล้วพบฐานอาญาความผิดอื่น อาทิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ฐานอั้งยี่) และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (3) นั้น ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถรับเพิ่มไว้ดำเนินการได้ เนื่องจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน โดยไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมของบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษอีกแล้ว แต่คณะพนักงานสอบสวนจะต้องไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้ชัดเจน ส่วนกรณีของฐานความผิดมาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 จะเป็นอำนาจดำเนินการของ กกต. เพื่อไม่ให้เป็นการทับซ้อนหรือขัดข้อกฎหมายระหว่าง 2 หน่วยงาน

สำหรับคดีความผิดทางอาญาตามกฏหมายที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยคดีความผิดทางอาญาตามกฏหมายดังกล่าวได้มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ (ก) คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อนจำเป็นต้องต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ และ (ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ แต่ทั้งนี้ หลักๆ แล้วคดีฮั้ว สว.67 ในที่ประชุมได้กล่าวถึงการเป็นคดีที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคม

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวภายใน เปิดเผยด้วยว่า กระบวนการหลังจากรับเป็นคดีพิเศษแล้วก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและออกหมายเรียกพยาน รวมไปถึงการสืบเส้นทางการเงิน โดยเฉพาะในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินหรือรับผลตอบแทนตัวเงิน รวมถึงการพิจารณารายการทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งหากพบที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินทางอาญาในคดีมูลฐาน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะทำการออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราว

Related Posts

Send this to a friend