‘พริษฐ์’ มองภาพนายกฯ- เบน สมิธ พิสูจน์ชัดรัฐบาลจริงจังหรือไม่
วันนี้ (5 ธ.ค.68) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงภาพที่ปรากฏ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเฟรมกับ นายเบญจมิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ว่า เมื่อวานนี้นายอนุทินได้เข้ามาชี้แจง ตนคิดว่าสิ่งที่จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนที่สุดว่ารัฐบาลมีความจริงใจจริงจังในการแก้ปัญหาสแกมเมอร์หรือไม่ รัฐบาลมีความเกรงใจบุคคลใดที่มีความเชื่อมโยงเครือข่ายสแกมเมอร์หรือไม่ ไม่ใช่คำพูดของนายกฯ แต่เป็นการกระทำของนายกฯ และรัฐบาล
หลังจากนี้ตนอยากเชิญชวนทุกภาคส่วนรวมถึงประชาชนทุกคนจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้าขยายผลจากการแถลงข่าวของ ปปง. อย่างไร โดยมองว่าการกระทำนั้นต่างหากที่จะเป็นตัวพิสูจน์ว่ารัฐบาลมีความจริงใจแก้เรื่องนี้มากแค่ไหน จะพ้นข้อครหาของการที่มีภาพปรากฏกับบุคคลที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์หรือไม่ ซึ่งตัวอย่างรูปธรรม เช่น การยึดทรัพย์ในเวลานี้เป็นการยึดทรัพย์ชั่วคราวภายในกรอบเวลา 90 วัน ที่เปิดให้ผู้ที่ถูกยึดทรัพย์มาชี้แจงและติดตามอย่างใกล้ชิดว่าผ่าน 90 วันไปแล้วการยึดทรัพย์จะเกิดขึ้นจริงต่อหรือไม่
ซึ่งเราจะเห็นการขยายผลในการออกหมายจับหรือว่าในการยึดทรัพย์บุคคลอื่นๆที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่มีฐานอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนตั้งข้อสังเกตว่ามูลค่าที่ถูกยึดทรัพย์เบื้องต้นครอบคลุมมูลค่าทั้งหมดที่เป็นทรัพย์สินที่มาจากเงินการหลอกลวงประชาชน โดยทางเครือข่ายสแกมเมอร์หรือไม่ ซึ่งตัวอย่างของรูปธรรมและการทำงานของรัฐบาลจะเป็นตัวพิสูจน์
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้(4 ธ.ค. 68) เห็นนายอนุทินมีการชี้แจงเป็นภาษาอังกฤษบางคำ (You know me little go) ตนมองว่า หากนายอนุทินอยากใช้ภาษาอังกฤษให้เป็นประโยชน์สิ่งสำคัญตอนนี้คือการพยายามประสานความร่วมมือกับเวทีนานาชาติเพราะเรื่องสแกมเมอร์เป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบแค่คนไทยเท่านั้นแต่กระทบถึงชีวิตและทรัพย์สินของคนในหลายประเทศ ซึ่งหลายประเทศรู้ดีว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ต้องอาศัยประเทศไทยเพราะประเทศไทยมีเชิงภูมิศาสตร์อยู่ระหว่างสองชายแดนที่ถูกมองว่าเป็นฐานของศูนย์สแกมเมอร์ จึงคิดว่าประเทศไทยต้องใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในระดับนานาชาติด้วยเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้และปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลการแลกเปลี่ยนทรัพยากรรวมถึงการพูดคุยการวางมาตรฐานในเรื่องของการฟอกเงินที่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกประเทศ รวมถึงการอาศัยความร่วมมือในการดำเนินคดีของผู้กระทำความผิดที่อาจจะมีการเดินทางไประหว่างประเทศเป็นต้น
นายพริษฐ์ ยังตั้งข้อสังเกตหลังจากได้ฟังคำชี้แจงของผู้มีอำนาจที่ปรากฏภาพกับบุคคลที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ ก็จะเห็นว่าคำชี้แจงหลายครั้งคือเจอกันตามหลักสูตรต่าง ๆ ทั้ง วปอ. หรือการร่วมงานเลี้ยงในหลักสูตรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนคิดว่าก็ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาทบทวนหรือพิจารณายกเลิกหลักสูตรดังกล่าว ของหน่วยงานภาครัฐ ที่จัดโดยหลายหน่วยงานมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น หลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นธป.) ของศาลรัฐธรรมนูญ หลักสูตร ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บยส.) ของศาลยุติธรรม หลักสูตร นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นปยส.) ของ ปปช. เป็นต้น
ซึ่งตนเคยตรวจสอบผ่านกลไกของกรรมาธิการว่าการมีหลักสูตรเหล่านี้ได้คุ้มเสียหรือไม่ ตอนเชิญหน่วยงานมาชี้แจง ก็ให้เหตุผลว่าเป็นความพยายามเพื่อสร้างความเรียนรู้ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนรวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ
“แต่เราตั้งคำถามถึงประโยชน์ว่าได้ประโยชน์จริงหรือไม่และคุ้มค่าหรือไม่กับข้อเสียไม่ว่าจะเป็นในเชิงงบประมาณภาษีประชาชนที่ใช้อุดหนุน หรือความเสี่ยงเรื่องการไปหล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ เนื่องจากผู้เข้าร่วมหลักสูตรเหล่านี้หลายครั้งก็มักจะมาจากหน่วยงานหรือภาคส่วนที่ต้องตรวจสอบกันและกัน ผมคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่สมควรที่เราจะหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาและยกเลิกหลักสูตรดังกล่าว” นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์ ยังตั้งคำถามว่าหากหลักสูตรเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริงเรื่องการเรียนรู้ ไม่ได้มีไว้เพื่อการสร้างคอนเนคชั่นเป็นหลัก ทำไมไม่ค่อยเห็นผลงานความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมจากผู้เข้าเรียน ถ้าหลักสูตรเหล่านี้มีประโยชน์ในการเรียนรู้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อคอนเนคชั่นทำไมถึงไม่เห็น ความพยายามในการปรับรูปแบบหลักสูตรในการลดความเสี่ยงหล่อเลี้ยงรูปแบบอุปถัมภ์ เช่น ปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์ หรือการรับคนเป็นรุ่น ๆ หรือ การเผยแพร่องค์ความรู้จากหลักสูตรในโลกออนไลน์
“ผมจึงตั้งคำถามว่า ประโยชน์ในเรื่องการเรียนรู้มีจริงหรือไม่และอีกมุมหนึ่งสิ่งที่เห็นชัดคือข้อเสียหรือความเสี่ยงเรื่องระบบอุปถัมภ์ เพราะกลายเป็นว่าหลักสูตรเหล่านี้รวมตัวแทนรัฐจากหลายหน่วยงานและภาคเอกชนก็อาจมีความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน หลักสูตรเหล่านี้กลายเป็นทำเลทอง หรือศูนย์บริการครบวงจร One Stop Service ให้เขาสามารถเข้าถึงผู้มีอำนาจทุกแวดวงในประเทศได้อย่างง่ายดาย” นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์ ยังมองว่า เป็นเรื่องตลกร้ายที่หลักสูตรซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความมั่นคงของประเทศ กลับถูกตั้งคำถามว่า หลักสูตรเหล่านี้กลายเป็นการสร้างพื้นที่ให้บุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์เข้าถึงผู้มีอำนาจรัฐหรือไม่ ทั้งที่สแกมเมอร์เป็นหนึ่งในภัยความมั่นคงของประเทศ
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนดำเนินเรื่องการปราบสแกมเมอร์มาสักระยะหนึ่งแล้ว และตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็นำหลักฐานสแกมเมอร์ไปยื่นร้องหน่วยงาน ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการเคลมผลงานกันหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องของสแกมเมอร์เป็นเรื่องที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งตอนนี้มีหลายภาคส่วนเข้ามาเอาจริงเอาจังเข้ามาร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี












