POLITICS

‘ณัฐพงษ์’ ย้ำ “ประชาชนใหญ่กว่าพรรค” พร้อมหนุน ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ

‘ณัฐพงษ์’ ย้ำ “ประชาชนใหญ่กว่าพรรค” พร้อมหนุน ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ บอก เปิดทางยุบสภา–แก้รัฐธรรมนูญ

วันนี้ (5 ก.ย. 68) เวลา 14:30 น.ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานในการประชุม

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า ตนเองรวบรวมประเด็นที่เป็นสาระสำคัญรวมประมาณ 3 ข้อ คือ ประการที่ 1 ในเรื่องของข้อห่วงใยของการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ว่าจะเป็นการขัดต่อระบบการเมืองของรัฐสภาหรือไม่ ที่เรามีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยทางอ้อมวัตถุประสงค์เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือเสียงข้างมากในสภา ผู้แทนราษฎรตนเองขอย้ำอีกหนึ่งครั้งหลังจากที่ตนเองได้อภิปรายในประเด็นดังกล่าวในญัตติก่อนหน้านี้ที่มีการเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมา ภายหลังจากที่พรรคประชาชนได้มีการประกาศข้อตกลงหรือ MOA ทั้ง 5 ข้อ ซึ่งในนั้นก็มีในเรื่องของการคงสภาพของการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ การแสดงออกของพรรคเพื่อไทยได้แสดงออกมาบอกว่าพร้อมรับทุกข้อเสนอ และ “ลด แลก แจก แถม” หากเลือก นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะยุบสภาในทันที คำถามของตนเองคือเพื่อนสมาชิกที่ลุกขึ้นมาอภิปรายเมื่อสักครู่ที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการให้มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะจะขัดต่อการเมืองในระบบรัฐสภา วันนั้นท่านออกมาแสดงความ เห็นคัดค้านต่อท่าทีของพรรคท่านหรือไม่หรือจริงๆแล้วท่านคิดอยู่ในใจว่าท่านไม่เคยเชื่อในการคงสภาพของการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยเลยหรือท่านคิดอยู่แล้วว่าวันนี้พรรคประชาชน ยกมือสนับสนุนให้กับนายชัยเกษมเดี๋ยวท่านจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากจนถึงวินาทีนี้การอภิปรายของท่านยังไม่สามารถทำให้พวกตนเชื่อได้เลยว่าตกลงหลักการของท่านคืออะไร

ประการที่ 2 ในเรื่องของข้อห่วงใย ที่เพื่อนสมาชิกบอกว่าจะเชื่อได้อย่างไรว่าการทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านของพรรคประชาชนจะสามารถถ่วงดุลตรวจสอบ รัฐบาลได้อย่างตรงไปตรงมา พรรคประชาชนจะต้องคอยอุ้ม คอยแบก คอยเป็นองค์ประชุมให้กับการพิจารณากฎหมายของรัฐบาลหรือไม่

“ผมขอถามเพื่อนสมาชิกว่า ท่านไม่คิดหรือ ในช่วงระยะเวลา 4-6 เดือน ต่อจากนี้สภาชุดนี้จะเป็นอีกหนึ่งชุดประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยที่ฝ่ายค้านมีความเข้มแข็งมากที่สุด ตราบใดที่พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทยยืนยันจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้บวกเลขแล้วเรามีกัน 280 กว่าเสียง ทำไมจะไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยครับ ทำไมเราจะเดินหน้าสู่ทางออกของประเทศในการยุบสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า วันนี้ตนเองเชิญชวนให้เพื่อนสมาชิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคเพื่อไทยที่หลายหลายคนจะรู้สึก และตนเองก็รู้สึกว่าเรามีอุดมการใกล้เคียงกันทำฝ่ายค้านให้เข้มแข็งเดินหน้าให้เป็นไปตามข้อตกลงที่พรรคประชาชนได้เซ็นสัญญาไว้นอกจากยุบสภาเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้ากระบวนการประชาธิปไตยในประเทศใหม่

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ประการสุดท้าย ในเรื่องของการตัดสินใจของพรรคประชาชนในวันนี้มีเพื่อนสมาชิกบางส่วนมีข้อห่วงใยว่าพวกเรากำลังจะไปสนับสนุนฝั่งอนุรักษ์นิยม ทำลายกระบวนการ ทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ตนเองไม่ขอพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ขอระยะเวลา 4-6 เดือนต่อจากนี้ ที่ตนเองและพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกัน

“พิสูจน์สิครับว่า วันนี้เราตัดสินใจต้องการเดินหน้ากระบวนการประชาธิปไตยจริง ๆ ไม่ใช่วันหนึ่งที่พรรคภูมิใจไทยแยกออกจากรัฐบาล แล้วดูสิครับกฎหมายนิรโทษกรรม กระบวนการเดินหน้าประชาธิปไตยอื่น ๆ ท่านผลักดันจริงหรือไม่”

พวกเราไม่ได้ต้องการมาชวนทะเลาะหรือย้อนแย้งหาอดีตแต่วันนี้เราตัดสินใจเพื่อที่จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งและเปิดประตูสู่การแก้ไขและธรรมนูญพวกเรามีแค่ 143 เสียงทำเองไม่ได้ตนเองต้องทำร่วมกับพรรคเพื่อไทย ที่เราต้องมาร่วมกันทำจริงๆขอย้ำว่าวันนี้สภาผู้แทนราษฎรของพวกเราต้องพิจารณามติโหวตนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 4 ตั้งแต่โหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โหวตนายเศรษฐา ทวีสิน โหวตนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และวันนี้กำลังจะโหวตนายกรัฐมนตรีคน ต่อไปชุดนี้ชุดเดียวกำลังจะมาโหวตนายกครั้งที่สี่ต้นสายปลายเหตุคืออะไร

สุดท้ายตนเองได้คำตอบเดียวก็คือรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าตกลงประเทศนี้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนของหลักการแบ่งแยกอำนาจขององค์กรตาม รัฐธรรมนูญที่ท่านเองก็ได้รับผลกระทบสารรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นของความซื่อสัตย์สุจริตและมาตรฐาน ทางจริยธรรมที่ทำให้นายเศรษฐาและนางสาวแพรทองทาต้องออกจากตำแหน่งยังมีปัญหาอีกเยอะแยะไปหมดที่พวกเราทุกคนในสภาแห่งนี้ล้วนได้รับผลกระทบจากกลไกของรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ใช่เวลาที่เราจะมานั่งถกเถียงกันว่าอะไรคือปัญหาของ ประเทศวันนี้ตนเองยืนยันอีกครั้งว่าการตัดสินใจของพรรคประชาชนเพื่อต้องการหาทางออกให้กับการเมืองเมืองไทยเดินหน้าสู่การเลือกตั้งและเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันนี้เราไม่ได้เลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนนิเดตของพรรคภูมิใจไทย มาบริหารประเทศ เราเลือกนายอนุทินมายุบสภาผู้แทนราษฎรภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกัน และเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้พักประชาชนตัดสินใจที่จะเลือกนายอนุทินเพราะเราได้เซ็นข้อตกลงทั้ง 5 ข้อ เปิดเผยต่อสาธารณะ MOA ก็เปิดให้ทุกคนในประเทศนี้ได้อ่าน นั่นก็คือ ต้องมีการยุบสภาภายใต้กรอบระยะเวลา 4 เดือน หลังจากการมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และไม่ควรใช้ข้ออ้างอื่นใดให้ละเมิดกรอบเวลาดังกล่าว เพราะพวกเราเชื่อว่าปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา หรือปัญหาอื่น ๆ ควรจะต้องให้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีความชอบธรรมเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศผ่านการเลือกตั้งใหม่

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า เรามีการระบุไปในข้อตกลงในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าต้องมีการจัดทำประชามติ 3 ครั้ง เราก็มีการระบุไปว่าให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะต้องมีมติให้มีการจัดทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า และหากมีการทำประชามติ 3 ครั้งจริงตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ถึง 4 เดือน ซึ่งเรื่องนี้ตนเองก็คาดหวังว่ารัฐบาลที่จะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อเปิดประตูสู่การเลือกตั้งใหม่ก็พิจารณาตามความเหมาะสมที่จะต้องมีการยุบสภาโดยเร็ว

หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้เกิดการทำประชามติ 2 ครั้ง นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดภายใต้ 4 เดือนนี้ ที่รัฐสภาของพวกเราจะเปิดช่องในการแก้ไข 256 ให้ทันให้มี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง และมาทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้านี่คือการเริ่มกระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ๆ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศนี้ในการเดินหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้าท่านใดไม่เห็นด้วย ถ้าประชาชน 60 กว่าล้านคนในประเทศนี้ไม่เห็นด้วย มีใครขึ้นมาให้คำตอบให้กับพวกเราได้บ้างหรือไม่ว่ามีโอกาสไหนของประเทศนี้อีกที่จะดีไปกว่าตอนนี้ ในการเดินหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ต้องตอบตนเองถ้าในชั่วโมงนี้ยังคิดไม่ออก ตนเองให้นอนคิดไปอีก 1-2 เดือนต่อจากนี้ ท่านคิดออกท่านมาบอกตนเอง พวกเราคิดข้อเสนอนี้ตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว และไตร่ตรองกันทุก ๆ วินาทีจนถึงวันนี้ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในการเดินหน้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

การคงสภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เราระบุไปแล้วใน MOA ตนเองย้ำอีกหนึ่งครั้ง ตนเอง และพรรคประชาชนพรรคเดียวไม่สามารถที่จะคงสภาพฝ่ายค้านเสียงข้างมากได้ ตนเองต้องร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย ถ้าพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยที่จะทำให้มีการปฏิบัติตาม MOA และเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พวกเราสองพรรคยืนยันกันได้อย่างเต็มปาก ตนเองตอบแทนสมาชิกในพรรคได้ว่า ไม่มีใครเป็นงูเห่า ท่านตอบได้หรือไม่ ท่านตอบได้ท่านเดินหน้าสู่ทางนี้แน่นอน ไม่มีทางอื่นประการ

ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า หลังโหวตนายกรัฐมนตรี พวกเรายืนยันจะเป็นฝ่ายค้านไม่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี เพื่อนสมาชิกบางท่านลุกขึ้นแสดงข้อห่วงใยว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตนเองชวนให้ไปอ่านมาตรา 106 ของรัฐธรรมนูญผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคือหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุด และไม่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีไม่เป็นประธานสภา และเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตนเองยืนยันว่าตนเองทำหน้าที่ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้ต่อไปโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่ตัวเองอยากทำให้เกิดความชัดเจนต่อไปคือ หลักการที่พวกเรายึดถือมาโดยตลอดคือ หลักการที่บอกว่าพรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค ตนเองเข้าใจดีเพื่อนสมาชิกหลายคนมีความอึดอัดใจมากที่จะลงมติโหวตกันในวันนี้ แต่เมื่อเรามีมติพรรคออกมาแล้ว มีกระบวนการในการรับฟังสมาชิกพรรคอย่างรอบด้านแล้ว คนที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงอย่างรอบด้านแล้ว ไม่มีใครที่จะบิดพลิ้วต่อมติพรรคครั้งนี้ได้

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนเองยืนยันในฐานะหัวหน้าพรรค และ สส.ของพรรคประชาชนคนไหนที่วันนี้ขัดต่อมติพรรค คุณขัดต่อคุณค่าพื้นฐานของพรรคที่บอกว่าพรรคใหญ่กว่าคน วันนี้เราหนักแน่นในมติของพรรคต่อการตัดสินใจของเรา และเราเดินหน้าอย่างไม่ลังเลไม่วอกแวก

“เราชัดเจนว่าวันนี้ประชาชนใหญ่กว่าพรรคตนเองทราบดี 14 ล้านคน เลือกพรรคก้าวไกลมาไม่ใช่สมาชิกพรรคทั้งหมดเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการเข้ามาโหวตหรือการตัดสินใจเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ตนเองเชื่อว่า 14 ล้านคน ที่กาพรรคก้าวไกลในวันนั้นไม่มีใครเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ตนเองเชื่อ 14 ล้านคน ในวันนั้นไม่มีใครเลือกเพราะอยากเห็นรัฐบาลที่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ตนเองเชื่อ 14 ล้านคน ในวันนั้นไม่มีใครหวังที่อยากจะเห็นอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย และตนเองก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า 14 ล้านคนในวันนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนเห็นด้วยกันทั้งหมดการตัดสินใจของพรรคในวันนี้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนเองยืนยันอีกว่าการตัดสินใจของเราในวันนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเราตัดสินใจ เพราะเราตัดสินใจเพื่อคน 60 กว่าล้านคน ในการผ่าทางตันให้กับประเทศ เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ และแก้ไขรัฐธรรมนูญนี่คือหลักว่าประชาชนใหญ่กว่าพรรคตัดสินใจ เพื่อประเทศไม่ได้ตัดสินใจ เพื่อคะแนนความนิยมของพรรคประชาชนเฉพาะหน้า

ดังนั้น ถ้าเราจะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ภายใต้กรอบระยะเวลา 4-6 เดือน ต่อจากนี้ ตนเองเชื่อทุกพรรคการเมืองวันนี้เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง ทุกพรรคต้องมุ่งหน้าในการสร้างคะแนนความนิยมให้กับตัวเองเพื่อให้ทุกพรรคมี สส.ในสภามากที่สุด ในการต่อรองให้ได้เก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดหน้า หลังการเลือกตั้ง และวันนี้ถ้าทุกพรรคอยากได้คะแนนนิยมมากขึ้นคุณจะต้องรักษาสัญญานี่คือ ความชัดเจนทั้ง 5 ข้อหลัก ๆ ที่พรรคประชาชนใช้ในการตัดสินใจในการโหวตนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และตนเองเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะมีทางออกได้หากพวกเราเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

Related Posts

Send this to a friend