ได้ข้อยุติ สภาฯ ให้ฝ่ายละ 1 ชม. อภิปรายสนับสนุน ’ชัยเกษม – อนุทิน’
วันนี้ (5 ก.ย. 68) เวลา 12:10 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานในการประชุม
นายภราดร ปริศนานันกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่แล้วสมัยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บอกว่าไม่ต้องมีการอภิปราย และไม่แน่ใจว่าถ้าสมาชิกที่เรียกร้องให้มีการครั้งนี้ความจำเสื่อมหรือไม่ เพราะครั้งที่แล้วนายอดิศร เพียงเกตุ บอกว่าจากอภิปรายกันไปทำไม รัฐธรรมนูญก็ไม่มี แต่มาวันนี้บอกว่าต้องอภิปราย เพราะมีความจำเป็นขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ครั้งที่แล้วก็เราบอกว่าไม่ต้องมีการอภิปราย แต่ครั้งนี้กลับกลืนน้ำลายตัวเองดัง เอื๊อก ๆ ตนเองใจกว้างมากพอ และบอกว่าให้อภิปรายได้แต่ต้องมีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน ซึ่งการตกลงครั้งที่แล้วให้ฝ่ายละ 20 นาทีแต่เลยเวลาไปบ้างก็เลยเป็น 1 ชั่วโมง ซึ่งตนเองคิดว่าเวลาเท่านั้นก็เพียงพอ
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิง ว่า ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่สถานการณ์ปกติในวันที่อดีตนายกฯ แพทองธาร เข้าสู่ตำแหน่งโดยการลงมติในสภาแห่งนี้ วันนั้นเกิดเหตุการณ์คือนายเศรษฐา โดนถอดถอน สภาเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรได้รับดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งในวันที่เสนอชื่อวันนั้นมาด้วยความปกติทุกประการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ต่างจากวันนี้ที่สถานการณ์ก็เห็นกันอยู่ว่า ไม่มีกติกากลไกใดที่เป็นไปตามปกติเลย ดังนั้น วันนี้จึงเป็นเหตุอันชอบ ที่ถือว่าเราควรมีการถกและหารือ และวันนั้นผู้ที่เสนอตัวไม่ได้อยู่ในสภา ก็เป็นการไม่ชอบที่จะพูดถึงโดยที่ตัวบุคคล ไม่สามารถที่จะเข้ามาด้านใน และมาชี้แจงได้แต่วันนี้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อหนึ่งท่าน และมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ก็นั่งอยู่ในที่ประชุมแห่งนี้ก็เป็นการชอบที่สมาชิกจะได้มีการพูดคุยและหารือ
ส่วนประเด็นในเรื่องกรอบเวลาหากเราย้อนกลับไป ตั้งแต่การลงมตินายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปจนถึงนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นการประชุมร่วม 3 ฝ่าย และถกกันอย่างละเอียดครบถ้วนทุกมิติ ซึ่งใช้เวลากันพอสมควร จึงเป็นการชอบที่พวกตนเองจะเสนอต่อประธานว่าฝั่งตนเอง เตรียมคนอภิปรายไว้แล้ว ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง หากท่านไม่ประสงค์ที่จะใช้สิทธิ์ และจะลดเวลาเพื่อเร่งรัดกระบวนการให้เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เร็วขึ้นซัก 1 – 2 ชั่วโมงก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่พวกเรายืนยันว่า เราได้เตรียมคนละประเด็น รวมถึงมีเรื่องที่สำคัญที่จะต้องอภิปรายในสภาเพื่อให้สมาชิกได้เห็นถึงความชอบและความเหมาะสมของการลงมติ ในครั้งนี้
นายภราดร กล่าวว่า ฝ่ายละ 1 ชั่วโมง ตนเองไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด เพียงแต่จะฝากไปถึงนายจุลพันธ์ ที่บอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ปกติ ท่านคิดเองว่ามันไม่ปกติ เพราะใจท่านมันไม่ปกติ เหตุการณ์มันเหมือนกันคือนายกฯ มีอันเป็นไปจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นหน้าที่อันชอบของสภาผู้แทนราษฎรที่จะมาสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ และในสภา ก็ต้องใช้เสียงข้างมากโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปกติพร้อม ย้ำว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ไม่ปกติแต่ประการใด และยอมรับสิ่งที่ประธานได้หารือเมื่อสักครู่คือฝ่ายละ 1 ชั่วโมง
นายจุลพันธ์ ขอใช้สิทธิ์พาดพิงว่า ที่บอกว่าตนเองจิตใจไม่ปกติ เรียนว่าตนเองจิตใจดีมากยิ้มแย้มแจ่มใส และต้องเรียนด้วยความเคารพว่าสิ่งที่ตนเองพูดเป็นข้อเท็จจริงสถานการณ์ในวันนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติเรากำลังจะรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งไม่เคยเหตุการณ์ในลักษณะนี้ลงมติไปแล้วแต่มีรัฐบาลที่มีเสียงเพียงแค่ 146 เสียง จาก 500 เสียง จะบริหารประเทศ จะขับเคลื่อนอย่างไร จะให้ความมั่นใจกับนักลงทุนต่างชาติ และภาคเอกชนอย่างไร พร้อมย้ำว่า นี่คือสถานการณ์ไม่ปกติที่ตนเอง ส่วนกรอบเวลาฝ่ายละ 1 ชั่วโมงเราก็ยินดี
ทั้งนี้ สส. จากหลายพรรคการเมืองยังมีการถกเถียงกันเรื่องระยะเวลาในการอภิปราย โดยได้มีการขอเวลาสำหรับฝ่ายที่ยังไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้อภิปรายในครั้งนี้ด้วย












