‘วิโรจน์’ แนะ ผู้นำกัมพูชาเก็บศพนักรบ ให้เกียรติทหารตัวเอง
‘วิโรจน์’ แนะ ผู้นำกัมพูชาเก็บศพนักรบ ให้เกียรติทหารตัวเอง หวังให้ทำตามข้อตกลงบ้าง หลังละเมิดมาแล้ว 651 ครั้ง ย้ำ ทุกจังหวะของไทยต้องรอบคอบ รัดกุม
วันนี้ (5 ส.ค. 68) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชนในฐานะประธานคณะกรรมการการทหาร กล่าวถึงปัญหาศพของทหารฝั่งกัมพูชาที่ไม่ได้นำไปประกอบพิธีอย่างถูกต้องนั้น นายวิโรจน์กล่าวว่า เราเดาใจทาง ฮุน เซน และฮุน มาเนตไม่ได้ แต่ตนเองคิดว่าเขาก็คงต้องให้เกียรตินักรบของเขาเหมือนกัน และเท่าที่ทราบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของเราให้เกียรติกับนักรบอย่างดีที่สุดและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางกัมพูชาเองก็ควรให้เกียรติ ตนเข้าใจดีว่าการรับศพทหารกลับไป สร้างความหวาดหวั่นให้กับคนในชาติกัมพูชา แต่ ณ วินาทีนี้ต่างฝ่ายก็ต้องยืนบนพื้นฐานความเป็นจริง และความจริงนี้ก็จะทำให้ทั้งประเทศไทยและทุกภาคส่วนน่าจะบรรลุผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน
นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงการประชุม GBC ที่มีขึ้นในวันที่ 4-7 สิงหาคมนี้ว่า หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าทางฝั่งกัมพูชาจะไม่รักษาสัญญา ดังนั้นการบันทึกทุกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และมีแถลงการณ์ต่อประชาคมโลก และภูมิภาคอาเซียนว่าข้อตกลงเป็นอย่างไรเรื่องนี้สำคัญที่สุด เพราะการมีทูตต่างประเทศ หรือมีนานาชาติมาเป็นพยานหรือร่วมสังเกตการณ์ด้วย ก็จะเป็นผลดี ว่าข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชา ไทยได้ให้ความเคารพ ข้อตกลงเสมอมา แต่ในขณะที่ กัมพูชานั้นหวังว่าจะเคารพข้อตกลงนั้น เพราะที่ผ่านมาในอดีตเคยละเมิดข้อตกลงมา 651 ครั้งแล้ว
ส่วนหากมีการเจรจาแล้วทางกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงอีก นายวิโรจน์คิดว่านับจากนี้กระทรวงการต่างประเทศ ต้องมีบทบาทสำคัญกับสภาความมั่นคงแห่งชาติมากขึ้น ต้องแถลงการณ์ ดำเนินการประท้วง ต้องดำเนินการ ผ่านองค์กรนานาชาติต่างๆ อย่างอาเซียน หรือ ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งอาเซียน หรือ เวทีด้านความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน ต้องมีการประท้วงหรือแจ้งให้ที่ประชุมทราบถ้าพบว่าทางกัมพูชาละเมิดข้อตกลงอีก ดังนั้น ณ วันนี้เราต้องรอบคอบสุด ๆ ทุกย่างก้าวของประเทศเราจะต้องเดินอย่างรัดกุม และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ รักษาคำมั่น สัจจะต่าง ๆ ที่ได้ตกลงกันไว้ ตรงนี้จะทำให้พวกเราปกป้องอธิปไตยและปกป้องความสง่างาม ของประเทศเราในเวทีโลกได้
ส่วนยุทธศาสตร์ของไทยขณะนี้เดินมาถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ตอนนี้เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น อาจจะมีการสื่อสารข้อความที่คลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็อย่าโทษกัน เพราะในช่วงแบบนี้การสื่อสารอาจจะมีการหลุดไปบ้าง แต่นับจากนี้ต้องรัดกุมหากเราเผลอเผยแพร่ ข้อความที่บิดเบือน โดยเฉพาะมีการยืนยันว่าสื่อมวลชนได้รับจากทีมโฆษกรัฐบาล หรือ ทีมกลาโหม ก็จะยิ่งทำให้ฝ่ายกัมพูชาเอาไปตีฟู และเอาเรื่องนี้ ฟ้องประชาคมโลกอีก และกล่าวหาเราจากความบกพร่องผิดพลาดทำให้เขากล่าวหาเราว่าเราจงใจสื่อสารข้อความบิดเบือน ซึ่งไม่เป็นผลดีในการเจรจาในเวทีนานาชาติ
“วันนี้เราต้องตระหนัก กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ เรากำลังต่อสู้กับคนที่หัวหมอสุด ๆ คนที่พร้อมจะวางเส้นเรื่อง และจัดฉากสุด ๆ ยั่วยุสุด ๆ เพื่อให้เราตกหลุม เดินเข้ามาตามเส้นเรื่องของเขา และเขาก็จะหยิบยกเอาหลักฐานต่าง ๆ ตามเส้นเรื่องของเขาที่วางไว้มาใช้โจมตีกล่าวหาเราและใช้ความได้เปรียบ ในเรื่องอธิปไตยและความชอบธรรมในเวทีโลก ผมไม่ได้กังวลว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือจะถูกทัวร์ลง เพราะผมคิดว่าอะไรที่กัมพูชาสามารถหยิบยก เข้ามากล่าวหาเรา หรือสร้างความได้เปรียบเราในการเจรจาในเวทีนานาชาติ ผมต้องมีความจำเป็นต้องทักท้วงเอาไว้ ผมอาจจะถูกตำหนิจากคนในประเทศก็ยังดีกว่า ถ้าเรานึกว่า ในอนาคตกัมพูชาจะหยิบยกเรื่องนั้นมาโจมตีจริง ๆ ทางรัฐบาลไทยได้หยิบยกการท้วงติงจากฝ่ายนิติบัญญัติ ไปเป็นข้อต่อสู้ได้ ว่าเราเองไม่ได้เห็นชอบด้วย เพราะฝ่ายนิติบัญญัติคอยตรวจสอบถ่วงดุล เพื่อให้ประเทศ ไทยเดินไปตามครรลองของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายเรามีตรงกันคือปกป้องอธิปไตย และความสง่างามของประเทศในเวทีโลก”
สำหรับการเตรียมเสนอญัตติให้ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 นายวิโรจน์กล่าวว่า แต่ละพรรคมีกลไกในการหารือกันอยู่แล้วแต่การยกเลิก MOU 43 ซึ่งเป็นเรื่องของพรมแดนบนบก และ MOU 44 ที่เป็นเขตแดนทางทะเล ตนคิดว่าการยกเลิกมันไม่ยาก แต่การร่างใหม่ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งที่ผ่านมาเรายืนยันว่า ไม่เคยละเมิด MOU ที่เราได้ลงนามไว้ แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่ละเมิดข้อตกลง ฉะนั้นการยกเลิกต้องคิดถึง MOU ฉบับใหม่ และจะต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่า เราไม่ได้เสียเปรียบ และเป็นการแก้ไขให้รัดกุมมากขึ้น เรื่องนี้ละเอียดมาก ถ้าเราหารือยังไม่รัดกุม อาจจะเป็นปัญหาลุกลามเกิดความปั่นป่วนปลุกปั่นและเกิดความขัดแย้งกันเองภายในประเทศได้ ฉะนั้นจำเป็นจะต้องดึงภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากและเปิดให้โปร่งใส เปิดการมีส่วนร่วมของสาธารณะอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจว่า MOU ฉบับใหม่ที่จะมาแทน จะเป็น MOU ที่รัดกุมและดีกว่าเดิม












