เลขาสภาฯ ยันไม่มีสิทธิก้าวก่ายตั้งที่ปรึกษา-เลขา กมธ. ยอมรับใครก็อยากได้บัตร VIP จึงต้องกลั่นกรองเข้ม
วันนี้ (5 ก.ค.67) ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีการออกมาเปิดเผยว่ามีการซื้อขายตำแหน่งในกรรมาธิการ และ บัตรจอดรถในสภาผู้แทนราษฎรว่าในกระบวนการต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน โดยการขอบัตรจอดรถอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีกระบวนการกลั่นกรองดูคุณสมบัติที่จะสามารถออกบัตรจอดรถได้ บัตรสีแดง หรือบัตรสีเขียว และมีระเบียบในการดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่าการปฏิบัติงานมีความซื่อตรงอยู่ในกรอบระเบียบของการดำเนินการร้องเรียน แต่หากมีกรณีการร้องเรียนมีการกล่าวหาก็จะมีการสอบสวน และสอบข้อเท็จจริง ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครบ้าง เพราะมีกรอบวินัยในการดำเนินการกับข้าราชการตามประมวลกฎหมายอยู่แล้ว
หากมีผู้ร้องเรียนหรือมีผู้เสนอให้สอบ ที่เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานฯก็จะมีการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ส่วนจะมีการกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ ให้เข้มงวดในการตรวจสอบการออกบัตรที่จอดรถ เพื่อปิดช่องโหว่ข้อกล่าวหานั้น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าอาจจะมีข้อทบทวนในเรื่องของการออกบัตรแต่ตอนนี้ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นการกระทำของใคร ยังเป็นข้อกล่าวหายังไม่มีกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งตนในฐานะผู้บังคับบัญชาจะไปกล่าวหาผู้ใต้บังคับบัญชาก็ยังไม่มีหลักฐาน ตอนนี้ทุกคนถือเป็นผู้สุจริตแต่ทุกคนอยู่ในกรอบวินัยในการปฏิบัติหน้าที่ ถ้ามีข้อร้องเรียนมาจะต้องสอบและดำเนินการทาง วินัยหรือดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง
สิทธิประโยชน์ในการเข้า-ออกเป็นเรื่องปกติของฝ่ายนิติบัญญัติในการเข้า-ออกอาคาร ที่อยากจะได้บัตรพิเศษก็เพื่อความสะดวก ในการปฏิบัติ ยอมรับว่าทุกคนอยากได้ส่วนนี้ และยังเชื่อว่าในกระบวนการกลั่นกรองก็มีความเข้มอยู่ในส่วนนี้ เพราะในอดีตที่ผ่านมาในสมัยช่วงที่แล้วก็เคยมีประเด็นเรื่องนี้ และเป็นข้อยุติสอบข้อเท็จจริงไป เขาก็เฝ้าระมัดระวังอยู่ในเรื่องนี้ เพราะทราบว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวในสิทธิประโยชน์ที่ต้องตอบให้ได้ ความแตกต่างของคนที่ได้รับบัตรในลักษณะแบบนั้นมีสิทธิ์อย่างไรบ้าง ก็เดี๋ยวจะกำชับไปเพื่อให้เขากลั่นกรองให้รอบคอบ
สำหรับการแต่งตั้งบุคคลในกรรมาธิการนั้น เลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าคณะกรรมาธิการของสภาฯ มีบทรองรับตามรัฐธรรมนูญ การปฏิบัติหน้าที่ต้องเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญ และการปฎิบัติงานอย่างมีกรอบจริยธรรมตามประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการ รวมถึงการดูแลผู้ปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการ ที่จะต้องดูแลให้อยู่ในกรอบตามที่กำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นดุลยพินิจของกรรมาธิการที่เราต้องเชื่อว่ากรรมาธิการแต่ละคณะตั้งคนขึ้นมาทำงานด้วยความสุจริต และ การตรวจสอบก็เป็นดุลยพินิจของกรรมาธิการ ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็เสนอออกคำสั่งแต่งตั้งตามคณะกรรมาธิการแต่ละคณะเสนอมา และหากมีกรณีการซื้อขายตำแหน่งหากไปเกี่ยวข้องกับกรรมาธิการ ก็เชื่อว่ากรรมาธิการแต่ละคณะอาจจะมีการสอบสวนและหาข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมาธิการมีถึง 35 คณะ และตำแหน่งต่าง ๆ มีจำนวนมากพอสมควร จึงเป็นดุยพินิจของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะ
ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ เชื่อว่าในทางปฏิบัติมีกระบวนการกลั่นกรองในการทำงานเพราะเป็นองค์กรในระดับนิติบัญญัติ ดังนั้นหากมีกรณีการร้องเรียนในกรรมาธิการใดก็เป็นดุลยพินิจให้มีการตรวจสอบในเรื่องนั้น ซึ่งฝ่ายประจำจะตรวจสอบแค่ในเบื้องต้น ตามที่กรรมาธิการเสนอมา แต่ในเชิงลึกก็ต้องเคารพในดุลยพินิจของแต่ละคณะกรรมาธิการที่เสนอมา ซึ่งหากเสนอมาแล้วจะไปบอกว่าบุคคลที่เสนอมาไม่เหมาะสมเราคงไม่กล้าก้าวก่าย ส่วนเรื่องวุฒิการศึกษาก็ดูแค่เบื้องต้นในเอกสารที่มีการรับรองมา ซึ่งจะแตกต่างกับกรณีของข้าราชการ ที่จะมีความเข้มข้น โดยก่อนแต่งตั้งจะมีการเช็คประวัติอาชญากรรม และตรวจสอบย้อนหลัง แต่กรณีของกรรมาธิการเราต้องเคารพ เว้นแต่ทางกรรมาธิการขอมาให้ทางสำนักงานตรวจสอบเพื่อยกมาตรฐานตรงนี้ แต่เจ้าภาพหลักในการพิจารณาปรับแก้ระเบียบเรื่องนี้ คือ คณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร