POLITICS

สภาฯ โหวตคว่ำมาตรา 27 กฎหมายชาติพันธุ์ ด้านภาคประชาชน ประกาศคว่ำร่างทั้งฉบับ

สภาฯ โหวตคว่ำมาตรา 27 กฎหมายชาติพันธุ์ ด้านภาคประชาชน ประกาศคว่ำร่างทั้งฉบับ ขอไม่ร่วมสังฆกรรมกลไกนิติบัญญัติที่บิดเบี้ยว ถามนายกฯ นี่คือชีวิตมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีที่ ‘เพื่อไทย’ มอบให้ใช่หรือไม่

วันนี้ (5 ก.พ.68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ในวาระที่ 2-3

โดยมีการเลื่อนมาจากการประชุมคราวก่อน เพื่อให้คณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากมีสมาชิกจากพรรครัฐบาลจำนวนหนึ่งคัดค้านหลักการมาตรา 27 เรื่องพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ให้งดเว้นการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ในพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ว่าอาจเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวกับป่าไม้

คณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่นำโดยนายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขอสงวนความเห็นให้มีการแก้ไขตัดข้อความที่ให้งดเว้นการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ในพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ออก ขณะที่ทั้ง สส.และกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคประชาชน ได้ยืนยันหลักการเดิมในมาตรา 27 และร่วมอภิปรายแก้ไขความเข้าใจผิดของสมาชิกฝ่ายรัฐบาล

นายมานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ระบุว่าแม้มาตรา 27 จะเป็นหัวใจของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่สมาชิกกลับยังมีความเข้าใจน้อย และคณะกรรมาธิการก็ได้แก้ไขตามที่สมาชิกในสภาฯ ได้แนะนำแล้ว แต่ถ้าไม่เขียนอย่างที่กรรมาธิการได้แก้ไข เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ จะเข้าไปทำงานตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้ เพราะมาตรา 27 เป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ เป็นโซ่ข้อกลางให้ประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ ทำงานร่วมกันตามกฎหมายได้

ถ้าจะเอา พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ มาบังคับใช้เต็มที่ วันนี้ก็จะต้องมีการย้ายประชาชนกว่า 10 ล้านคนออกจากป่าทั้งหมด เนื่องจากทุกวันนี้ใช้การผ่อนปรน ดังนั้น กฎหมายนี้จะเป็นโซ่ข้อกลางที่จะลดความขัดแย้ง ถ้าไม่เขียนแบบนี้เจ้าหน้าที่จะทำงานไม่ได้ เป็นโซ่ข้อกลางที่ทำให้ความขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับประชาชนยุติลง ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือกับประชาชนได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย หัวใจคือลดความขัดแย้งสร้างความร่วมมือ คนและป่าอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน

สมาชิกหลายคนยังเข้าใจผิดเนื่องจากอ่านมาตรา 27 โดยไม่ได้กลับไปดูในหมวดที่ 2 มาตรา 6-13 ว่าด้วยกรรมการ และหมวดที่ 4 มาตรา 22-26 ที่ระบุว่าการประกาศเขตคุ้มครองพิเศษตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สามารถให้ใครก็ได้ที่เป็นชาติพันธุ์แล้วประกาศได้ คนที่จะประกาศได้ต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงวัฒนธรรม ต้องพิสูจน์ตัวเอง และต้องทำแผนแม่บท จากนั้นให้กรรมการที่ระบุไว้ในหมวด 2 เป็นผู้อนุมัติ

ดังนั้นมาตรา 27 จึงไม่ได้เป็นการล้มล้างกฎหมายเดิม ที่ใดที่เป็น พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ก็ยังมีอำนาจใช้เหมือนเดิม เมื่อใดที่ทำผิดและไม่ทำตามแผนแม่บท ก็ยังมีบทลงโทษตามกฎหมายเช่นเดิม และที่ผ่านมากฎหมายในลักษณะนี้ก็ได้มีการประกาศใช้แล้วหลายกรณี ย้ำว่า วันนี้เราต้องเพิ่มประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยรัฐ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นคุณกับทั้งรัฐและประชาชน ยกเว้นคนที่ขอใช้ป่าโดยใช้อำนาจส่วนกลางมาตัดสิน

นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ อภิปรายชี้แจงและตอบคำถามสมาชิกกรณีที่สมาชิกบางส่วนเห็นว่า เนื้อหาการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ ต้องไม่รวมถึงเรื่องสิทธิในที่ดินด้วย ว่าการตีความแบบนี้ไม่ถูก เพราะกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้มีแค่ปัญหาด้านประเพณีวัฒนธรรม แต่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของกฎหมายฉบับนี้คือการคุ้มครองให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ไม่ถูกแช่แข็งเอาไว้แบบอดีต ไม่ใช่แค่การอนุรักษ์เสื้อผ้า อาหาร วัฒนธรรม หรือการเก็บพื้นที่เก่าเอาไว้เพื่อให้คนใจบุญขึ้นไปเลี้ยงอาหารเด็ก การดำรงชีวิตของคนต้องการอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ซึ่งจะเริ่มต้นได้ต้องมีสิทธิในที่ดินที่อยู่อาศัยทำกิน คนจึงจะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองต่อไปได้

นายเล่าฟั้ง ยังอธิบายถึงข้อกังวลการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นกฎหมายที่งดเว้นการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้หรือไม่นั้น ว่า แน่นอนว่าใช่ แต่ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะกรณีที่มีปัญหาคือการนำกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่ามางดเว้นการบังคับใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า แต่ถ้าเป็นการงดเว้นการบังคับใช้กฎหมายโดยกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า ก็ย่อมเป็นการทำได้ และมีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาแล้ว

ส่วนที่สมาชิกหลายคนระบุว่ามาตรานี้จะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ สมาชิกอาจถูกยื่นสอบจริยธรรมได้ หากย้อนกลับไปดูสภาที่ออก พ.ร.บ.ส.ป.ก. หรือ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ก็ยังไม่เคยมีใครต้องโทษ หรือได้รับผลในทางกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ส่วนจะขัดเรื่องหลักความเสมอภาคหรือไม่นั้น กฎหมายฉบับนี้ มีสภาพเป็นกฎหมายที่ช่วยสร้าง หรือเพิ่มโอกาสให้คนที่ด้อยโอกาส ได้เข้าถึงความเท่าเทียมกับคนอื่น ซึ่งไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะในมาตรา 27 ย้ำว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายและหลักการของรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

ทั้งนี้ที่สมาชิกบางคนมีความกังวลว่าการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์จะนำไปสู่การทำลายป่าหรือไม่ ว่า การประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองฯ จะไม่ทำให้พื้นที่ป่าลดลงแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่จะสร้างความชัดเจนระหว่างพื้นที่ของประชาชนกับที่ของรัฐ เมื่อใดที่มีการบุกรุก รัฐก็สามารถจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายได้ สร้างความชัดเจนในการบริหารพื้นที่ได้ ดังนั้นมาตรา 27 สมาชิกหลายคนที่ตั้งคำถามมาจึงมีคำอธิบายชัดเจนอยู่แล้ว ว่าการเขียนกฎหมายในลักษณะนี้สามารถทำได้ สมาชิก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยควรต้องเข้าใจดี เพราะในอดีตหลายคนก็เคยประกันตัวคนที่ถูกจับกุมในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ไปหาเสียงหรือพบประชาชนก็ย่อมต้องได้รับการสะท้อนปัญหาเหล่านี้มา ตนเองจึงหวังว่าสมาชิกทุกคนจะรับในหลักการของมาตรา 27 นี้ได้

จากนั้นได้เข้าสู่การลงมติว่าจะให้มีการแก้ไขในมาตรา 27 ตามที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นการคงหลักการให้มีพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ตามเดิมหรือไม่ โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยด้วยคะแนน 268 ต่อ 154 เป็นผลให้หลักการของการงดเว้นการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ในพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอันตกไป จาก พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว

ภายหลังเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้แถลงข่าวที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา นายศักดิ์ดา แสนมี่ สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลการโหวตวันนี้สะท้อนถึงการไม่ยอมรับ ไม่โอบรับเจตนารมณ์ของภาคประชาชนหลายประการ อาทิ พื้นที่คุ้มครอง นิยามของชนเผ่าพื้นเมือง ที่เราอยากให้มีการยอมรับตัวตนและส่งเสริมวิถีชีวิตของชาวชาติพันธ์ุ

นายสุริยัน ทองหนูเอียด ในนามผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ขอประณามการลงมติไม่รับหลักการเสียงข้างมากของกรรมาธิการในการพิจารณามาตรา 27 ว่าด้วยพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ผ่านมาทั้งเรื่องป่าชุมชน หรือคำสั่ง คสช.ไม่ได้ส่งเสริมสิทธิชุมชนทุกประเภท

ในนามกรรมาธิการภาคประชาชน ขอคว่ำร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งร่าง พร้อมส่งเสียงไปยังพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคเดียวที่มีมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก หากร่างกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ก็คงพิกลพิการ ภาคประชาชนถูกรังแก รัฐมีอำนาจเพิ่มขึ้นในการกระทำย่ำยีชาวบ้าน จึงขอให้สภาฯ ที่พอจะมีจิตวิญญาณเป็นผู้แทนประชาชน คว่ำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้

นายพชร คำชำนาญ กรรมาธิการสัดส่วนภาคประชาชน ในฐานะผู้เสนอกฎหมาย กล่าวว่า เราไม่สามารถได้กฎหมายฉบับนี้ว่าส่งเสริมวิถีชีวิตของชาวชาติพันธุ์ หากไม่ได้คุ้มครองหัวใจของพี่น้องชาติพันธ์ุ ซึ่งเป็นดินแดนที่พวกเขาอยู่ ไม่มีมรดกวัฒนธรรมใดที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เพราะมรดกวัฒนธรรมเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดิน บ้าน ที่ทำกินที่บรรพบุรุษสร้างและส่งต่อให้เป็นมรดก

ที่ผ่านมาพี่น้องกลุ่มชาติพันธ์ุต้องเผชิญกับปัญหาหลายทศวรรษ ภายใต้นโยบายอนุรักษ์พื้นที่ป่า ทั้งการประกาศอุทยานแห่งชาติ ถูกไล่รื้อ-เผาบ้าน ถูกจับกุมดำเนินคดี แม้กระทั่งการถูกอุ้มฆ่า รวมถึงโครงการพัฒนาน้อยใหญ่ที่ถูกสร้างทับพื้นที่ เราจึงไม่ยินดีให้กฎหมายที่พิกลพิการแบบนี้ผ่านไป

เราไม่ยินดีให้พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย นำกฎหมายที่พิกลพิการนี้ไปใช้สร้างความชอบธรรมในเวทีประชาคมโลกบอกว่า ได้คุ้มครองพี่น้องชาติพันธ์ุ แต่ในทางปฏิบัติคือ การกดขี่ซ้ำเติมชาติพันธุ์ เราจะไม่สังฆกรรมกับกระบวนการของสภาฯ ขอเรียกร้องให้คว่ำกฎหมายนี้

ท้ายที่สุด ขอฝากถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงนโยบายไว้เมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 ที่บอกว่ากลุ่มชาติพันธ์ุคือ กลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่รัฐบาลเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหา ฝากถึงนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทยว่า นี่คือสิ่งที่ท่านบอกว่าจะปกปักคุ้มครอง และส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ในเมื่อที่ดินทำกินแทบจะไม่มี ขอให้ออกมาชี้แจงกับพี่น้องประชาชน

“นี่คือชีวิตที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีที่พรรคเพื่อไทย จะมอบให้กับเราใช่หรือไม่ เราขอไม่รวมสังฆกรรมในกลไกที่บิดเบี้ยว และกลไกนิติบัญญัติที่ไม่เห็นหัวภาคประชาชน” นายพชร กล่าว

Related Posts

Send this to a friend