นายกฯ ตรวจเยี่ยม ตม. สุวรรณภูมิ กำชับแก้ปัญหาระบบล่ม
นายกฯ เข้าตรวจเยี่ยม ตม. สุวรรณภูมิ กำชับแก้ปัญหาระบบล่มบ่อย – จนท. ไม่พอปฏิบัติงาน มอบ KPI รอประทับพาสปอร์ตไม่เกิน 30 นาที เตรียมเรียกประชุมบ่ายนี้
วันนี้ (5 ก.พ. 67) ทีที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังเดินทางไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจสอบระบบตรวจคนเข้าเมือง หรือ Biometrics ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เกิดขัดข้อง มา 2 ครั้งแล้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบส่งต่อช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ Automatic channels ไม่สามารถตรวจได้ ส่งผลกระทบต่อช่วงเวลาที่มีเที่ยวบินขึ้นลงหนาแน่น โดยเฉพาะผู้โดยสารขาออกประเทศ ว่า ตนเองไปตรวจดูโดยที่ไม่แจ้งสื่อมวลชนไว้ ซึ่งประมาณต้นเดือนมีนาคม จะมีการประกาศเรื่องการยกระดับสนามบินทั่วประเทศ ก็ถือเป็นแผนงานใหญ่ สนามบินสุวรรณภูมิมีระบบการตรวจคนเข้าเมือง ระบบจัดการทั้งหมด เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ตนเองไม่ได้แค่อยากฟังรายงานเท่านั้น แต่อยากไปดู โดยไม่อยากใช้คำว่าปัญหา อยากใช้คำว่าโอกาส เพราะมีโอกาสทำให้ดีขึ้นอีกเยอะมาก เริ่มตั้งแต่งานระบบที่ตอนนี้มีหลายบริษัทระบบไอที มาดำเนินการ ซึ่งการที่ข้อมูลไม่เชื่อมโยงกันระบบแบ็คอัพ ไม่เสถียร และเรื่องของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่มีไม่เพียงพอ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ได้มีโอกาสเข้าไปดูในพื้นที่ที่มีการพักผ่อนกัน ซึ่งก็มีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีเท่าไหร่ ตนเองจึงได้สั่งการให้มีการปรับปรุง และระบบขาเข้า ขาออก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ได้ไปรับข้อมูล นำมาปรับปรุงเพื่อเขียนไปในแม่แบบอันใหญ่ที่จะนำมาแถลง
ส่วนเรื่องปัญหาระบบตรวจคนเข้าเมืองล่ม นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก็เป็นส่วนหนึ่ง จะมีการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ ซึ่งเป็นเรื่องเทคนิค เป็นเรื่องของระบบ พอมีคนเข้ามาเยอะ ระบบก็หน่วง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารเข้ามาเป็นจำนวนมาก ถ้าเวลาปกติกว่าคน KPI ใช้เวลา 45 วินาที แต่ในขณะที่ทุกช่องของการตรวจคนเข้าเมืองมีการใช้งานพร้อมกัน และจำนวนมาก ทำให้ KPI ใช้เวลานานถึง 1 นาทีกว่า ทำให้ช้าขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการประชุมกันในช่วงบ่าย และต่อเนื่องกันทั้งอาทิตย์ เพื่อเขียนเป็นแม่แบบว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร และคาดว่าจะใช้เวลา 12 เดือนถึงจะจบ
ส่วนจะส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตอนนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมีตัวเลขใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และต้องใช้วิธีการบริหารจัดการกันไป ตนเองให้ KPI ว่านักท่องเที่ยวไม่ควรคอยการประทับตราหนังสือเดินทาง ไม่ควรใช้ระยะเวลาเกิน 30 นาที ตั้งแต่รอคิวเข้ามา ส่วนปัญหาเรื่องการรกระเป๋านาน ก็เห็นว่าดีขึ้นแล้ว และจะพยายามทำให้ดีขึ้นอีก
สำหรับจำนวนของพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่เพียงพอ นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกันแล้ว จะมีการเรียกประชุม โดยอาจเรียกผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาพูดคุยวันนี้ เป็นปัญหาระยะยาวที่อยากแก้ไข
ส่วนการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนเองไปดูมาแล้ว คนต่อคิวยาวมาก รอการตรวจพาสปอร์ต การเอ็กซ์เรย์กระเป๋า พื้นที่ในการเช็คอินไม่เพียงพอ ซึ่งตนเองไม่อยากให้ในขาออกใช้ระยะเวลานาน หรือตรวจเช็คเยอะ แต่เข้าใจว่ามีอยู่ 2 เรื่อง คือการตรวจ นักท่องเที่ยวที่อยู่เกินเวลาของวีซ่า และคนที่มีความผิดทางอาชญากรรมที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ดังนั้น เรื่องของระบบไอที จะต้องเชื่อมต่อกันให้ได้ทั้งหมด หากเป็นระบบที่ต้องเช็กให้ได้ ก็ตื่นตัว และเตรียมพร้อม ซึ่งเรื่องนี้เป็นแผนระยะกลาง และจะมีการมาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง รวมถึงการเชื่อมต่อระบบระบบเข้าด้วยกันทั้งหมด และหากสามารถไม่ต้องตรวจแบบเป็นเคาน์เตอร์ ที่ต้องประทับตราแล้วออกไป ก็จะทำให้ระยะเวลาเดินทางออกนอกประเทศสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เข้ามาประเทศไทย ก็อยากให้มีการเดินทางที่สะดวกสบายตั้งแต่ลงเครื่องบิน เดินเข้ามาในอุโมงค์ที่ชัดเจน ไม่ต้องนั่งรถบัสเข้ามาเปียกฝน เข้ามาถึงก็ไม่ต้องคอยนานเกิน 30 นาที รับกระเป๋าแล้วออกไปได้ ระบบแท็กซี่ที่เข้ามาต้องเข้ามาอย่างเหมาะสม ถูกต้อง และขากลับมาก็ไม่อยากให้เกิน 2 ชั่วโมง เพราะเดี๋ยวนี้ใช้ระยะเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง
“ถ้าเราจะดูแลเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องนี้เราก็ต้องเห็นใจนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน แทนที่จะเอาเวลาไปท่องเที่ยวเพิ่ม จับจ่ายใช้สอยเพิ่ม ก็ต้องเสียเวลาในการมาสนามบิน ถือเป็นโอกาสในการทำให้ประเทศไทยให้การท่องเที่ยวดีขึ้น ให้มองเป็นโอกาส” นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย












