POLITICS

‘หมอบัญญัติ’ ยัน ปชป. สนับสนุนกัญชาทาง การแพทย์ ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี

‘หมอบัญญัติ’ ยัน ประชาธิปัตย์ สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี แนะผู้เสนอร่างพ.ร.บ.กัญชา ใช้สติปัญญาและเหตุผล 100% ใช้อารมณ์ 0% ฟังทุกคำพูดของ ‘จุรินทร์’ 

วันนี้ (4 พ.ย. 65) นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส. จังหวัดระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุถึง การที่รองโฆษกพรรคภูมิใจไทยออกมาตอบโต้ความเห็นของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ความจริงแล้วไม่ใช่มีเพียงความเห็นของหัวหน้าพรรคที่ไม่สนับสนุนแนวทางกัญชาเสรี แต่เป็นความเห็นของคนทั้งพรรคประชาธิปัตย์ 

ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนเรื่องการส่งเสริมกัญชาทางการแพทย์มาตลอดตั้งแต่ก่อนที่ ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเข้าพิจารณาในชั้นรับหลักการวาระที่ 1 เสียอีก กล่าวคือ เมื่อปี 63 สภามีการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชากัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ตนก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้อภิปรายในฐานะ กมธ. วิสามัญชุดดังกล่าว ถึงทางออกในการนำพืชที่เป็นยาเสพติดให้โทษโดยเฉพาะกัญชา กัญชง และกระท่อม นำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เป็นหลัก 

อีกทั้งเพื่อสามารถควบคุมโทษ และพิษภัย โดยเฉพาะจากสาร THC ที่มีความสามารถในการเสพติด ซึ่งในรายงานฉบับดังกล่าว สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบต่อรายงาน และข้อสังเกต ซึ่งข้อสังเกตให้เป็นการใช้กัญชาในทางการแพทย์เท่านั้น รวมทั้งมีข้อสังเกตท้ายรายงาน ให้รัฐบาลเสนอ “ร่าง พ.ร.บ. พืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ พ.ศ. …. ด้วย 

แต่ปรากฎว่าทางผู้เสนอกฎหมายกัญชาในครั้งนี้ กลับไม่ยอมเสนอร่างพ.ร.บ. ตามข้อสังเกตในรายงานฉบับนี้ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว กลับเสนอร่าง พ.ร.บ.กัญชง กัญชา พ.ศ. …. แทนซึ่งตนและพรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลในหลายมาตรา ถึง 11 ประเด็น ก่อนปิดสมัยประชุม พรรคประชาธิปัตย์และสภาก็มีมติเสียงข้างมากให้ กมธ.ถอนเรื่องไปทบทวน แต่กมธ. ก็ไม่มีการทบทวน ยกตัวอย่าง ร่างมาตรา 3 มีการระบุว่า กัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ซึ่งตนและพรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลมาก หากปล่อยผ่านไป จะปิดช่องทางในการทบทวนประกาศให้กัญชาเป็นยาเสพติดในอนาคต หาก กมธ. เห็นโทษและพิษภัยหลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบันประกาศถอดออกจากยาเสพติดไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ ซึ่งขณะนี้สังคมก็เห็นผลกระทบจากสารเสพติดกัญชามากขึ้นตามลำดับ

นอกจากนี้ตนในฐานะของผู้อภิปรายรับร่าง พ.ร.บ.กัญชง กัญชา ในวาระ 1 ก็เคยตั้งข้อสังเกตไว้อีกด้วยว่าจะต้องเป็นการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น และยังเสนอให้ กมธ. วิสามัญฯ ตั้งตัวแทนจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษา แต่ก็ไม่มีการตั้งแต่อย่างใด และตนก็ยังนำข้อเสนอแนะของสมาคมจิตแพทย์มาเสนอต่อที่ประชุมสภาว่า การใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้น ยังต้องคำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก เยาวชน สตรีมีครรภ์ มารดาขณะให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต และต้องปกป้องผู้ไม่ประสงค์จะรับกัญชาเข้าสู่ร่างกายด้วย 

ที่สำคัญ ตนและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเคยยื่นหนังสือถึงประธานสภา เพื่อประกาศให้พื้นที่รัฐสภาเป็นเขตปลอดกัญชา เช่นเดียวกับสถานศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ซึ่งก็ทำเพื่อปกป้องสิทธิ์บุคคลทั่วไปให้ไม่ต้องรับกัญชาปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว

สำหรับสิ่งที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาย้ำเรื่อง พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ ไม่เอากัญชาเสรี และตอบผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวที่ถามว่า คนของพรรคประชาธิปัตย์ไปรับงานของใครมาหรือไม่ แล้วนายจุรินทร์ก็ได้ตอบว่า “รับงานจากประชาชนมา” นั้นนพ.บัญญัติ เห็นว่าเป็นการตอบด้วยสติปัญญาและเหตุผล 100% ตอบด้วยอารมณ์ 0% การ “รับงานจากประชาชนมา” นั้น ถือเป็นภารกิจที่สูงสุดของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นขอให้ผู้เสนอร่างฯ โปรดฟังด้วยสติปัญญาและเหตุผล 100% และใช้อารมณ์ 0% เช่นเดียวกันด้วย 

ส่วนการที่นายจุรินทร์ให้นำคำถาม “ไปรับงานใครมา” นี้ กลับไปถามตัวผู้ถามด้วยนั้น หากผู้ถามจะตอบสังคมเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ตรงกับนายจุรินทร์และพรรคประชาธิปัตย์ตอบ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน คนของพรรคประชาธิปัตย์มีหลักการมั่นคง ยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่รู้สึกหวั่นไหว ดังเช่นที่ถูกกล่าวหา

“ยืนยันว่าหัวหน้าจุรินทร์ได้ชี้แจงด้วยสติปัญญาและเหตุผล 100% ใช้อารมณ์ 0% ขอให้ท่านใช้สติปัญญาและเหตุผลในการตอบ 100% แล้วใช้อารมณ์ในการตอบ 0% ด้วยเช่นกัน” นพ.บัญญัติกล่าว

พร้อมกับเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า กัญชาแม้ไม่ใช่ยาเสพติดตามนิยามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบัน ที่ลงนามประกาศไปแล้วเมื่อต้นปี แต่ทางการแพทย์ทั่วโลกก็ยังจัดกัญชาเป็น “สารเสพติด” หากปล่อยให้มีการใช้กัญชาอย่างเสรี เช่นในปัจจุบัน ระยะยาวจะส่งผลต่อสมองและระบบประสาทของพี่น้องประชาชน จากเบาไปหาหนักดังนี้ 

ระยะที่ 1. สารเสพติดจะทำลายสมองส่วนควบคุมสติปัญญาและเหตุผล ระยะที่ 2. สารเสพติดจะทำลายสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ระยะที่ 3. เมื่อสมองถูกทำลายในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 สมองจะเหลือแต่ส่วนสัญชาตญาณที่ขาดการควบคุม เป็นสมองเอเลี่ยน อันจะทำให้เมื่อลงมือทำสิ่งใดจะขาดความยับยั้งชั่งใจและขาดความเมตตา ซึ่งตนเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง 

Related Posts

Send this to a friend