‘ชาดา‘ ตอบปมกฎหมายให้ต่างชาติซื้อคอนโด 75% เช่าที่ดิน 99 ปี

ชี้ยังอยู่ในขั้นศึกษาผลกระทบ ไม่ยอมต่างชาติครองไทยเดินกร่างไปทั่ว เชื่อหากกระทบหนักนายกฯ คงไม่ฝืน ด้าน ’ศุภณัฐ‘ ซัดรัฐบาลคิดไม่รอบคอบ ถามหาความคืบหน้า 7 มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ
วันนี้ (4 ก.ค.67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับมาตรการช่วยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระบายสต็อก และให้ต่างชาติถือคอนโดจาก 49% เป็น 75% โดยขอให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า ครม. เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นอดีต CEO บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายดีเยี่ยมต่างชาติซื้อเยอะ น่าจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นมาตอบ เพราะที่ผ่านมานายเศรษฐา ไม่เคยตอบกระทู้ถามสดของ สส.พรรคก้าวไกล แม้แต่กระทู้เดียว อ้างว่าติดภารกิจทุกครั้ง
นายศุภณัฐ อ้างอิงมติ ครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.67 ครม.มีมติเห็นชอบตามที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เสนอว่าตามที่ ครม.มีมติ 9 เม.ย.67 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค ดึงดูดนักลงทุนขนาดใหญ่เข้ามามายังประเทศไทย ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนการกำหนดระยะเวลาทรัพย์อิงสิทธิ ไม่เกิน 99 ปี จากเดิม 30 ปี ทั้งยังขอให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ให้บุคคลต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดจาก 49% เป็นไม่เกิน 75% ได้
จึงถามนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยถึงเหตุผลที่ให้นายภูมิธรรม นั่งหัวโต๊ะประชุม ครม.แทนนายเศรษฐา ในวันดังกล่าว เพราะกลัวโดนครหาว่าเอื้อให้กับกลุ่มทุนธุรกิจที่เคยเป็นอดีต CEO หรือไม่ ส่วนตัวเป็นห่วงความน่าเชื่อถือและความบริสุทธิ์ของนายกฯ ในเมื่อ ครม.มีมติสั่งกระทรวงมหาดไทยไปแก้กฎหมาย แปลว่า ครม.มีธงต้องการแก้กฎหมายนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ปัจจุบันชาวต่างชาติถือคอนโดเพียงแค่ 16% มีเพียงบางโครงการที่ถือชนเพดาน 49% เหตุใดจึงแก้จาก 49% เป็น 75% เป็นการเอาความเสี่ยงของประเทศไปแลกกับการช่วยเหลือโครงการใช่หรือไม่
จากนั้นนายชาดา ลุกขึ้นชี้แจงว่าวันดังกล่าว ตนเองก็ไม่อยู่ลาไปทำพิธีฮัจญ์ หลังจากกลับมาก็ได้ศึกษาเรื่องนี้ ส่วนตัวไม่ทราบเหตุผลที่นายภูมิธรรม เสนอเรื่องนี้ แต่ตนเองได้รับนโยบายจากนายกฯ ให้ศึกษาผลได้ผลเสีย เรื่องการให้ต่างชาติเข้ามาครอบครอง เข้ามาเป็นแหล่งเงินทุน หรือเข้ามาทำอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายพวกนี้มันตายตัวไม่ได้ จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้อาจจะไม่ต้องการเงินทุนต่างชาติ แต่ในสภาพเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่งเราต้องการเงินทุนจากต่างชาติ ปัญหาคือการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ต้องดูว่าแหล่งเงินทุนต่างชาติครอบครองอสังหาริมทรัพย์ และทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่
คนไทยกลัวกับกฎหมายแบบนี้ เพราะกลัวว่าต่างชาติจะเข้ามาครอบงำ เข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินในจำนวนมาก แต่เราต้องยอมรับว่าหากจะกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องปรับปรุงข้อกฎหมาย นายกฯ ให้ศึกษาผลได้ผลเสีย และผลกระทบไม่ได้ให้ทำเลย ซึ่งขณะนี้กรมที่ดินกำลังดำเนินการเรื่องนี้ ตนเองเข้าใจนายศุภณัฐว่ามีความเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาให้ต่างชาติเข้ามาซื้อสิทธิ์ครอบครองตึก 75% เคยมีระยะหนึ่ง ใช้มาเป็นเวลา 5 ปีแล้วยกเลิกไป
“ผมว่าไม่เกี่ยวว่าท่านทำธุรกิจด้านนี้แล้วก็กลัว ความเป็นจริงมันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ท่านเคยทำธุรกิจตรงนี้มา จะออกโดยใคร จะเสนอโดยใครก็ไม่พ้น แต่ท่านคงติดภารกิจ เป็นการสั่งให้ดำเนินการศึกษา มหาดไทยตามเรื่องอยู่ แต่ผลยังไม่ออกมาเพิ่ง 10 กว่าวันเอง”
นายชาดา กล่าวต่อว่าได้พูดคุยกับกรมที่ดินว่าการจะออกเป็นกฎหมายจะต้องมีความชัดเจน สิ่งที่ต้องศึกษาคือ ต้องดูว่าเขาจะครอบครองแบบไหนมากกว่า ขณะที่เรื่องทรัพย์อิงสิทธิ์ถือเป็นกฎหมายที่ซับซ้อนพอสมควรคงอธิบายทั้งหมดไม่ได้ ส่วนตัวกำลังศึกษาอยู่เช่นกัน พร้อมถามกลับนายศุภณัฐว่า “เข้าใจที่ผมตอบหรือไม่ เพราะผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง ที่ผมตอบท่านก็ยังงง ๆ อยู่”
ด้านนายศุภณัฐ ลุกขึ้นกล่าวว่า นายชาดาคุมกรมที่ดินน่าจะทราบเรื่อง พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ทั้งนี้ในมติ ครม.ไม่ได้ใช้คำว่า “ศึกษาผลกระทบ” มีแต่ให้ไปพิจารณาทบทวนแก้ไข พ.ร.บ. เข้าใจว่าเมื่อมีเผือกร้อนโยนมาที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงปรับเป็นว่าจะศึกษาผลกระทบ แต่นี่ไม่ใช่คำสั่งของ ครม. จึงขอเสนอให้นายชาดา ชง ครม.ให้ยกเลิก มติครม.เพื่อปรับให้เป็นการทบทวนแทน
สำหรับชาวต่างชาติง่ายเหมือนกระดิกนิ้ว 3 ล้านบาทของบางคนคือเศษเงิน ซื้อเสร็จก็ปล่อยให้คนไทยเช่าต่อ ความต่างของรายได้คือตัวแปรที่เราต้องปกป้องและไม่รังแกคนไทย หรือหานโยบายเพื่อช่วยกลุ่มทุนอย่างไม่สนใจอะไร การที่ ครม.ส่งหนังสือให้กระทรวงมหาดไทยไปแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ซึ่งถือเป็นการเช่ารูปแบบหนึ่ง แต่เสมือนการขายจริง สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นได้ตลอดระยะเวลาการเช่า หากมีการแก้ไขกฎหมายจริงเท่ากับว่าทั้งตึกจะเป็นของต่างชาติ เป็นการให้ต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ ปั่นราคาโดยไม่มีมาตรการรองรับ ไม่รอบคอบแล้วอ้างว่าไปศึกษา ทั้งที่มติ ครม.สั่งให้แก้ พ.ร.บ.การที่ให้ต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก โดยที่ไม่ได้บอกว่าครอบครองแล้วจะลงทุนอะไรเพิ่มเติม มันไม่มีข้อกำหนดใครได้ประโยชน์ ระหว่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์หรือคนไทยที่จ่ายภาษี
นายชาดา กล่าวชี้แจงต่อว่าขออย่ามองอย่างนั้น ตนเองก็คนบ้านนอก นายกฯ สั่งแก้กฎหมายก็ต้องศึกษาผลได้ผลเสีย สุดท้ายก็ถูกเสนอมายังสภาฯ ย้ำว่าการแก้กฎหมายต้องศึกษาไม่ใช่แก้เลย โดยไม่ดูผลได้ผลเสีย เอาเข้าสภาฯ ก็โดนหนัก คนไทยไม่อยากให้ใครมาเอาแผ่นดิน ทุกคนมีความรู้สึกอย่างนั้น แต่บางเรื่องหากเป็นเรื่องธุรกิจและเป็นกลุ่มไม่ได้ใหญ่มากนักก็ต้องมาคิดและวิเคราะห์กันดู
ตนเองคงไม่ยอมให้ชาติไหนมาครอบครองประเทศไทยแล้วเดินกร่างไปทั่ว โดยที่คนไทยไม่มีสิทธิมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าต้องศึกษาในแง่เศรษฐกิจ ทุกวันนี้เป็นโลกโลกาภิวัตน์ การเคลื่อนที่ของกลุ่มทุนมาไวไปไว ทุกคนหาประโยชน์จากกลุ่มทุนของต่างชาติ ในเรื่องเศรษฐกิจต้องทำ ไม่ใช่ว่าไปยกที่ดินให้ใคร ตนเองก็คงไม่ยอม ไม่ใช่เรื่องของการขายชาติ ถ้าเกิดว่าเป็นผลเสียจำนวนมาก เมื่อเสนอนายกฯ ท่านก็คงไม่ฝืน
“ท่านนายกฯ ไม่ใช่เป็นเจ้าของแผ่นดิน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาบริหารบ้านเมือง แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคน จะทำอะไรก็ต้องถามประชาชนก่อน แต่แนวคิดของคนบริหารก็จะต้องมีไอเดีย ไม่ใช่นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ได้ ต้องคิดเพื่อให้เศรษฐกิจนำพาประเทศไปในที่ถูกที่ควร ไม่ต้องห่วง ต้องแยกระหว่างเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ แม้จะบางเท่าเส้นผม” นายชาดา ย้ำ
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่าตนเองไม่ได้คัดค้าน แต่รัฐบาลไม่รอบคอบ นายกฯ เคยทวีตไว้ก่อนหน้านี้ว่าอยากให้ต่างชาติถือคอนโด 100% หากจะมีกฎหมายก็คงเสร็จทันที ทั้งนี้หากจะศึกษาต้องทำเป็นมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว พร้อมตั้งคำถามว่าเมื่อเข้าสู่รัฐบาลเศรษฐา เศรษฐกิจแย่ลงใช่หรือไม่ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ต้องยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือเพิ่มเติม เป็นเพราะบริษัทผลิต Over Supply และอยากระบายสต๊อกใช่หรือไม่ ซึ่งนายกใช้เวลาสามเดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค.ออก 7 มาตรการช่วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทันที ซึ่งเศรษฐกิจก็ไม่ได้ดีขึ้น
นายชาดา กล่าวตอบว่าเศรษฐกิจมีหลายรูปแบบ ต้องใช้เทคนิคในการบริหาร ไม่ใช่บริหารภายใต้ความมั่นคงหรือกฎหมายอย่างเดียว มาตรการ 7 ประการรัฐบาลก็ดำเนินการอยู่ เชื่อว่านายกฯ พยายามคิดและหาทางแก้ไขปัญหาเป็นเรื่อง ๆ ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวกรมที่ดินทำอย่างละเอียดและจะชี้แจงต่อประชาชน เพราะก่อนกฎหมายจะออกมาต้องมีการทำประชาพิจารณ์ ย้ำว่ายังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา
ช่วงท้าย นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ปฎิบัติหน้าที่แทนประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับนายศุภณัฐ ว่าให้ไปถามรัฐมนตรีข้างหลัง ถ้ายังติดใจอยู่