POLITICS

โฆษกรัฐบาล และคณะแถลงผลหารือนายกฯ ไทย – กัมพูชา

โฆษกรัฐบาล และคณะแถลงผลหารือนายกฯ ไทย – กัมพูชา รวมถึงผลประชุม GBC – JBC ยัน ถอนอาวุธออกจากพื้นที่ตามไทม์ไลน์ ยก รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ปัญหา ตลอดเดือนที่ผ่านมาไม่มีสูญเสียเลย จับตา 14 พ.ย. ไทยรอคำตอบกัมพูชา ก่อนเริ่มวางหลักเขตแดนชั่วคราวพื้นที่ชายแดน ยัน ร่วมมือปราบสแกมเมอร์ ตั้ง คณะกรรมการทำงานร่วมกัน

วันนี้ (3 พ.ย. 68) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม, พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย, พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก, พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ, พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ และพลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า การแถลงข่าววันนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน เหตุการณ์ชายแดน โดยย้อนไปที่ผ่านมา เริ่มต้นตั้งแต่ กัมพูชาเข้ามาขุดคูเลต จากนั้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ก็เป็นช่วงที่ไทยได้ความสูญเสีย คือทหารเหยียบกับระเบิดในบริเวณพื้นที่ตรวจการของฝั่งไทย ทำให้สูญเสียขา ทั้งสิ้น 3 ราย และระเบิดลูกแรกของกัมพูชาตกลงฝั่งไทยที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดศรีสะเกษ นำมาซึ่งความสูญเสีย และเราคิดว่าความสูญเสียนี้หนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับคนไทย เราสูญเสียชีวิตพลเรือน 8 คน และมีเด็กอายุ 8 ขวบด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีความโกรธแค้นในความสูญเสีย และความเสียใจ และหลังจากนั้นมีการโต้ตอบกัน 4 วัน 5 คืน สูญเสียทหารนับ 10 ราย บาดเจ็บ 666 คน ซึ่งเหตุการณ์นั้น ดำเนินการมาจนกระทั่งถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ได้มีการลงข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น กับกัมพูชาที่มามาเลเซีย โดยมีการหยุดยิงทั้งสองประเทศ และเริ่มมีผู้สังเกตการณ์คือ สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ดังนั้น การดำเนินการใดใดที่จะเกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา จะเป็นเรื่องที่ถูกสังคมโลกจับตามอง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือไทย และกัมพูชามีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่วันนี้เรากำลังพูดถึงเมื่อมีแผ่นดินที่ติดกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้จะเดินหน้าอย่างไร

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า แนวทางการปฏิบัติต่อกันอย่างไร ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเรายืนยันใน 4 ข้อหลัก และวันนี้มีการเซ็นเอกสารเพิ่มเติมคือ Joint Declaration ว่าไทยและกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไรต่อกัน พร้อมย้ำว่า ประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยข่าวลือ แต่ประเทศจะเดินหน้าด้วยข้อเท็จจริง

นายสิริพงศ์ ยืนยันว่า มาตรการการดำเนินการภายใต้รัฐบาล ทางกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ มีการประสานงานพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางกันอย่างใกล้ชิดตลอด

“รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ จะนำความสงบสุขกลับมาคืนสู่คนไทยทุกคนในประเทศนี้ โดยยึดหลักที่เราจะไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียว ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่า ตั้งแต่นายอนุทิน มาเป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่มีดินแดนไทยไหน แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียวที่เราสูญเสียให้กัมพูชา เราไม่มีอวัยวะชิ้นไหน ของทหารผู้เสียสละที่จะเสียไปจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เราไม่ได้เห็นเลือดของทหารเหล่านั้น หยดลงบนผืนดินไทย และที่สำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดของประชาชนที่ต้องไหลลงผืนดินไทยตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา” นายสิริพงศ์ กล่าว

ส่วนประเด็นเรื่อง 18 ทหารกัมพูชา เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องที่เขาขอมา แต่หากไปดูในจะเห็นว่ากระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นต่อเนื่องเมื่อกัมพูชามีการดำเนินการสี่ข้ออย่างจริงใจ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการประเมิน ว่ากัมพูชามีการดำเนินการสี่ข้อตามที่ไทยเรียกร้องหรือไม่

ส่วนพื้นที่ตาควาย และอื่น ๆ จะแนวทางการเจรจาคืนมาหรือไม่ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ความรุนแรงหรือการยิงกัน จบไปตั้งแต่สัญญาณหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมแล้ว ดังนั้น รัฐบาลไม่สามารถไปใช้กำลังไปเปิดก่อนได้ แต่ต้องใช้แนวทางสันติวิธีคือการเจรจาแต่แนวทางการปักปันเขตแดนในกรณีที่ยังเป็นปัญหาอยู่ต้องพูดคุยกันในระดับทวิภาคี ซึ่งหมายรวมไปถึงทุกพื้นที่ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน และยังไม่มีกรอบเวลา และทำใน 4 ประเด็นใหญ่ไปก่อน

ด้านพลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง JBC และ GBC ก่อนจะนำมาสู่ Join Declaration โดย GBC ไทย และกัมพูชา มีการจัดตั้งมานานแล้ว และมีการพูดคุยกันทุกปี โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ที่เป็นข้อบังคับว่า JBC จะจัดประชุมได้แค่ครั้งเดียวต่อปี แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาทำให้เราต้องใช้กลไกการเชิญประชุมร่วมกัน ถึงเป็นสมัยวิสามัญ ท้ายที่สุดการเจรจาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สนามสองฝ่ายเข้าสู่สันติ และหัวใจสำคัญคือประชาชน

ข้อตกลงจากการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม คือหยุดยิงโดยอาวุธทุกชนิด ไม่มีการเคลื่อนย้ายตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไม่มีการเพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดน ละเว้นการยั่วยุที่จะอาจจะนำไปสู่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของที่การทหาร งดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อคนพลเรือน และเป้าหมายทางพลเรือนโดยเด็ดขาด กรณีที่มีการขัดกันด้วยอาวุธทุกชนิด ให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันในระดับพื้นที่ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เร็วที่สุด

ส่วนข้อตกลงในวันที่ 10 กันยายน ได้ร่วมหยิบยกในประเด็น 4 ข้อ คือการถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิดปราบปรามสแกมเมอร์ และการฟื้นฟูนำพื้นที่ที่มีปัญหาไปสู่ความสงบ โดยเรื่องการถอนอาวุธหนัก มีการทำแผนปฏิบัติการในการถอนอาวุธภายในสามสัปดาห์ และเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับข้อกำหนดขอบเขตการปฎิบัติหรือ TOR สำหรับการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ก่อนที่จะมีการเห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิบัติ โดยกำหนดวันเริ่มต้น และเห็นชอบขอบเขตการปฎิบัติสำหรับการจัดตั้ง AOT

ทั้งนี้ มีการถอนอาวุธหนัก อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ประเภท A) ภายใต้ระยะที่ 1 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 – 21 พฤศจิกายน 2568 สำหรับระยะที่ 2 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม 2568 และการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 3 (ประเภท C) กำหนดให้ดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 13 – 31 ธันวาคม 2568 โดยคาดว่าจะสอนกำลังแล้วเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมระยะเวลา 2 เดือน

พลเรือตรี สุรสันต์ ยืนยันว่า เป็นแค่การถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นไม่มีการถอนกำลังใด ๆ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ก็จะปฎิบัติหน้าที่เช่นเดิม ขอให้ความมั่นใจว่าเรายังทำโครงการปกป้องอธิปไตยของชาติของประเทศไทยต่อเนื่อง ไม่มีการถอนกำลังพล ถอนขีดความสามารถของเราตามแนวชายแดนใด ๆ

สำหรับภารกิจของ AOT เรามีกลไกเป็นตัวกำกับ เพื่อให้รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงหากมีปัญหาใด ๆ ทั้งสองฝ่ายจะรายงานไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้สร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่ง ยืนยันว่า เรามีกลไกตรวจสอบและการปฎิบัติเรียบร้อย

ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ถือเป็นประเด็นสำคัญช่วงเวลาที่ผ่านมา GBC มีการประชุมเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยมีการพูดคุยการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (Joint Coordinating Task Forces : JCTF) โดยมีการหารือ และจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานในการเก็บกู้ทุนระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่องในการเก็บกู้ภายใน 1เดือน ต่อมาที่ประชุมรับทราบ และจัดตั้งคณะดังกล่าว ก่อนจะบรรลุข้อตกลง SOP ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทั้งนี้ฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาไม่ได้เสนอพื้นที่ใด ๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเสนอมาเพียง 1 พื้นที่เท่านั้น โดยทั้ง 13 พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และเรามีกลไกเรื่องการเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุการเก็บกู้ทุนระเบิด ย้ำว่า 13 พื้นที่ปฏิบัติการ ที่มีข้อตกลงกับกัมพูชาลักษณะการทำงาน จะแบ่งงานออกไปว่าอธิปไตยของใครก็เป็นของคนนั้น

พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวอีกว่า ถือว่าการดำเนินการในเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปบ้าง แม้จะมีการขัดขวางจากฝ่ายตรงข้ามแต่ยังยืนยันที่จะเก็บกู้ เพื่อความปลอดภัยทางชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเป็นไปตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา

พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวว่า มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) มีแผนปฏิบัติการในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีการจัดส่งรายชื่อ และจัดตั้งคณะขึ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการลงนามกันของทั้งสองประเทศเห็นถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว และให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของที่ประชุม GBC

สำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ขัดแย้งตามแนวชายแดนบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ถือเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา จะต้องดำเนินการให้กลับมาสู่สภาวะปกติ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศสำรวจเส้นเขตแดน และแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของใคร

เมื่อถามว่า หากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามพลเรือตรี สุรสันต์ ระบุว่า ก็มี AOT คอยกดดัน และในเงื่อนไขไม่มีการกำหนดเป็นกองกำลังแต่กำหนดเป็นผู้แทนของประเทศในลักษณะกึ่งการฑูตที่จะเข้ามา และต้องใช้กลไก AOT เป็นอันแรกก่อน

นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า มีการประชุม JBC ในวันที่ 21-22 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่จันทบุรี แบ่งได้เป็น 3 ประเด็น 1.ในการซ่อมแซมหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่เห็นตรงกันแล้ว 2. การแก้ไข TOR ปี2003 และนําเทคโนโลยีมาทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศภายในสัปดาห์แรปของเดือนธันวาคม 2568 3. เห็นพ้องกระบวนการสํารวจและจัดหมุดชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน หลักเขต 42-47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและให้หน่วยงานท้องถิ่นจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หวังว่าจะมีส่วนช่วยในการลดความกระทบกระทั่งและความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ

นายเบญจมินทร์ กล่าวอีกว่า ทางฝ่ายกัมพูชาอยู่ระหว่างร่างคําแนะนําทางเทคนิคในการสํารวจหลักเขตแดนชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน ส่วนฝ่ายไทยได้จัดทําร่างและเสนอไปแล้ว อยู่ระหว่างรอคําตอบในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 และเริ่มสำรวจเพื่อวางหลักเขตแดนชั่วคราวในวันที่ 17 พฤศจิกายน พร้อมเสนอให้รัฐบาลแต่ละฝ่ายเห็นชอบ

นายเบญจมินทร์ ยืนยันว่าการวางหลักเขตแดนชั่วคราว เพื่อการสํารวจเท่านั้นไม่ได้กระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชา ในเขตแดนทางบกตามกฎหมายของประเทศ และจะมีการประชุม JBC อีกครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการในช่วงต้นเดือนมกราคม 2569

พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำอย่างต่อเนื่องปราบปรามเข้มงวดเนื่องจากในประเทศไทยแล้วยังมีประสานความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องนี้พัฒนารูปแบบเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติไปแล้วโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย และมีการประสานความร่วมมือกับกัมพูชาตั้งแต่ปี 2564 โดยคนที่ไปทำงานไม่ว่าจะด้วยสมัครใจ หรือถูกบังคับไปนั้นมีคนไทยหลายคนสมัครใจข้ามไปทำงาน และเราดำเนินการตลอด ปีนี้มีการประสานความร่วมมือกับกัมพูชา นำตัวคนไทยกลับมาดำเนินคดีหลายคน

พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ระบุว่า มีแผนปฏิบัติการไทยกัมพูชาเพื่อสกัดการอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ รวมถึงการค้ามนุษย์ คือการแบ่งปันข่าวกรองร่วมกัน, การป้องกันอาชญากรรมแลกเปลี่ยนรายชื่อผู้ต้องสงสัย, การปฎิบัติการพร้อมกันทั้งสองประเทศ โดยให้เจ้าหน้าที่ในแต่ละฝ่ายดำเนินการในเขตอำนาจของตน, การส่งผู้ต้อสงสัย และคุ้มครองเหยื่อ มั้งเหยื่อค้ามนุษย์ และผู้ต้องหา, มีการประชุมติดตามผลเบื้องต้นปีละ 2 ครั้ง, ตั้งคณะทำงานร่วมกัน ฝ่ายละ 12 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่ประสานงานโดยตรง, ระยะเวลาบังคับใช้ ภายใน 2 ปี ตั้งแต่ 23 ต.ค. 68 – 22 ต.ค. 70 และลักษณะข้อตกลง เป็นความร่วมมือเสริมไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในประเทศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ มีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้ง มีการตั้งศูนย์วอร์รูม และประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วยนอกจากนี้ ยังเปิดปฏิบัติการ ซิม สาย เสา โดยเฉพาะการตรวจสอบสายสัญญาณอินเตอร์เน็ต และเสาปล่อยสัญญาณโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูล และยกระดับการแก้ไขปัญหาสกัดกั้นการส่งสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึง โครงการ money cash back เพื่อสกัดกั้นคนที่เข้าไปร่วมกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเป็น มาตรการเร่งด่วน สามารถดำเนินการคืนเงินให้กับผู้เสียหายเร็วสุดภายใน 9 วัน โดยในระยะเวลาอันสั้นที่ได้ดำเนินโครงการมา สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายแล้วกว่า 250 ล้านบาท

Related Posts

Send this to a friend