‘ศิริกัญญา’ แนะปรับลดงบประมาณ เหตุเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว

‘ศิริกัญญา’ แนะปรับลดงบประมาณ เหตุเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว รัฐบาลเสี่ยงจัดเก็บรายได้ไม่ตรงเป้า มองงบโครงการซ้ำซ้อนยังรีดไขมันได้อีกหลายส่วน
วันนี้ (3 ก.ย. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วาระ 2 ในมาตรา 4 นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสียงข้างน้อย อภิปรายขอปรับลดงบประมาณลงอีกราว 2 แสนล้านบาท ให้เหลือ 3.5 ล้านบาทเศษ
นางสาวศิริกัญญา ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐวิสาหกิจถูกปรับลดไปครึ่งหนึ่งจากที่ของบประมาณมา บางหน่วยงานถูกตัดงบจนไม่เหลือเลย เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่ง ธ.ก.ส. ของบประมาณมา 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่อยู่ในแผนบริหารชำระหนี้ไม่ถูกตัดงบ แต่ส่วนของแผนยุทธศาสตร์กลับถูกตัดงบประมาณลงทั้งหมด รวมแล้วรัฐวิสาหกิจที่เป็นธนาคารของรัฐ ถูกตัดงบลงไป 3.5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดงบของหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม ตัดลงไป 7% ในโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟ ประมาณ 120 ล้านบาท กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัดงบประมาณของระบบเตือนภัย Cell Broadcast เนื่องจากซ้ำซ้อนกับงบของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกระทรวงมหาดไทย ประมาณ 200 ล้านบาท ขณะที่สำนักนายกรัฐมนตรีตัดงบงวดงาน และงบประมาณในส่วนของโครงการซอฟท์พาวเวอร์ ส่วนกระทรวงกลาโหมถูกตัดงบประมาณน้อยกว่าทุกปี
งบประมาณบางส่วนที่ไม่ควรตัดกลับถูกตัด เช่น ธนาคารรัฐวิสาหกิจ และยังมีส่วนที่เป็นไขมันและรีดได้อีกมากคือโครงการที่ซ้ำซ้อน ไม่สมเหตุสมผล ยังขาดเป้าหมายวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เช่น โครงการ Anywhere Anytime ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการถกเถียงว่าใช้งบประมาณทำแบบเรียนออนไลน์สูงเกินจริง และสุดท้ายไม่ได้ตัดงบประมาณส่วนนี้ โดยอีก 3 วันต่อจากนี้จะมีการอภิปรายลงรายละเอียดว่ามีงบประมาณส่วนใดที่เป็นไขมันสามารถตัดออกได้อีกบ้าง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นางสาวศิริกัญญา ยังอธิบายเหตุผลที่จำเป็นต้องปรับลดงบประมาณลง เพราะเราไม่ได้มีศักยภาพมากพอจะใช้จ่ายงบประมาณถึง 3.7 ล้านล้านบาท เนื่องจากงบประมาณ 2568 ได้ประมาณการรายได้มาตั้งแต่ธันวาคม 2566 ที่ประมาณการรายได้ไว้ถึง 2.887 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าเศรษฐกิจในปี 2567 จะโตขึ้น 3.2% แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปมาก เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอตัวลง ปี 2567 การเติบโตของเศรษฐกิจเหลือ 2.5% ย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลโดยตรง ปี 2568 ก็เช่นเดียวกัน ถูกปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจเหลือ 3.0% เท่านั้น เราจะจัดเก็บรายได้เท่าเดิมที่ประมาณการไว้คือเกือบ 2.9 ล้านล้านบาทได้อย่างไร
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง แต่ประมาณการรายได้ของปี 2568 ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเลย และเมื่อมีแนวโน้มจะจัดเก็บรายได้ไม่ตรงตามที่คาดหมายไว้ ยิ่งควรปรับลดงบประมาณลง เช่น กรมสรรพสามิต ที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2567 ว่าจะจัดเก็บรายได้ 598,000 บาท แต่เก็บจริงกลับหลุดเป้าไปเกือบ 7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเรามีการปรับลดภาษีราคาน้ำมันเพื่อช่วยค่าครองชีพ และปรับภาษีรถยนต์ EV เพื่อกระตุ้นการลงทุนในรถ EV รวมถึงบุหรี่ที่ไม่สามารถเก็บภาษีได้ และพลาดเป้าไปเกือบ 1 หมื่นล้านบาท และในปี 2568 ก็ตั้งเป้าไว้อย่างท้าทายว่าจะจัดเก็บรายได้ถึง 609,700 ล้านบาท เพราะนโยบายภาษี EV ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาษีบุหรี่ก็ไม่มีการปรับปรุงนโยบายแต่อย่างใด
นางสาวศิริกัญญา จึงขอปรับลดงบประมาณอีกราว 2 แสนล้านบาท ให้เหลือ 3.5 ล้านบาทเศษ เพื่อความระมัดระวังและรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต