POLITICS

นายกฯ มอบนโยบายและแนวทางจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 67

นายกฯ มอบนโยบายและแนวทางจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 67 ขอหน่วยงานราชการคำนึงถึงผลประโยชน์ประชาชน – รักษาวินัยการเงิน – วัด KPI โครงการ – ตัดงบซ้ำซ้อน – มองแหล่งทุนรอบด้าน

วันนี้ (2 ต.ค. 66) ที่ศูนย์จัดแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คเมืองทองธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการมอบนโยบาย และแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกที่ถูกกระทบโดยสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ปัญหา supply chain ที่กระทบมาถึงประเทศไทย โครงสร้างอุตสาหกรรม ภาคการผลิต ที่กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่หมวดสินค้า ถูกจำกัดด้วยจำนวนตลาดที่ไทยสามารถแข่งขันส่งออกได้ ปัญหาเอลนีโญ ที่จะทำให้เกิดภัยแล้งยาว กระทบกับพี่น้องเกษตรกร หนี้สินในภาคครัวเรือน การเกษตร เราจะต้องแก้ที่โครงสร้างอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการผลิตด้านการเกษตรของเรา วิธีทำการเกษตรของเรา ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาฝุ่นควันที่เกิดขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสาธารณสุขอื่น ๆ อีก ปัญหาทั้งหมดล้วนมีส่วนทำให้เศรษฐกิจสังคมของเรามีปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้

ภาคสังคมมีเรื่อง การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) จะทำให้ workforce ของเราลดลง ส่งผลต่อสัดส่วนแรงงานต่อประชากร และรัฐจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการทำสวัสดิการเพื่อดูแลประชากรทุกคน ความเปราะบางที่เกิดจากหนี้สิน หนี้ครัวเรือน ค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่เป็นธรรม ยาเสพติด หลายๆ ปัญหา

นายเศรษฐากล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลนี้เราจะ Take on actions อย่างจริงจัง ดำเนินนโยบายร่วมกับทั้งราชการทุกภาคส่วน และผลักดันเอกชนทุกระดับ เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ในระยะสั้น รัฐบาลให้ความสำคัญ 3 ประการเร่งด่วนด้วยกัน คือการฟื้นฟูรายได้ ดูแลค่าใช้จ่ายของประชาชน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายกรัฐมนตรีระบุว่า ในต้นปี 67 จะมีเงินอัดฉีดเข้าไปในเศรษฐกิจ ด้วยกรอบประมาณ 560,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าไม่ถึงทุกพื้นที่ ไม่ถึงทุกชุมชน ครั้งนี้ เงิน 560,000 ล้าน ที่เข้าไปกระตุ้นอุปสงค์ และจะขับเคลื่อนฝั่งอุปทานให้โตขึ้น ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน สิ่งที่ได้รับคืนมาคือภาษีที่กลับคืนสู่ภาครัฐ การจำกัดการใช้จ่ายให้อยู่ในชุมชน จะทำให้เงินหมุนเข้าไปถึงระดับรากหญ้าก่อนเสมอ ทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเศรษฐกิจนี้

ในด้านการท่องเที่ยว เราก็จะฟื้นการท่องเที่ยวทั้งจากนักท่องเที่ยวในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งในประชุม ครม. วาระแรกได้ดำเนินการเรื่องที่ทำได้ทันที คือการยกเว้นวีซ่าชั่วคราวไปให้กับนักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน เป็นมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น รัฐบาลจะวางแผนดำเนินมาตรการกับประเทศอื่น ๆ อีก โดยพิจารณาจากสถานภาพเศรษฐกิจ ความต้องการ และสถานะของประเทศ รวมถึงวางแผนมาตรการอื่น ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย อำนวยความสะดวก หรือมาตรการอื่น ๆ ที่เหมาะสม ในระยะยาวเองก็ต้องมีการพัฒนาด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว หรือการต่างประเทศที่จะต้องมีการจัด Roadshow เป็นต้น

นายเศรษฐา ระบุว่า ด้วยทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ผมมั่นใจว่าเราจะทำให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไปอยู่ที่ 400 บาทต่อวันได้โดยเร็วที่สุด และ ครม. ก็ได้อนุมัติการลดค่าพลังงานให้กับประชาชน โดยจะต้องมีการวางแผนใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาชั่วคราว ควบคู่ไปกับการวางแผนโครงสร้างพลังงานระยะยาว เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงการพักหนี้ด้วย

“เรื่องรัฐธรรมนูญ รัฐบาลนี้ก็ได้เดินหน้าตั้งคณะกรรมการเพื่อเริ่มดำเนินการแล้ว โดยจะดำเนินการทำประชามติ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา ระบุว่า รัฐจะต้องวางแผนหาเงินกลับมาคืนในส่วนที่ใช้ไป จะรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดในระยะยาว ซึ่งในนโยบายระยะยาว จะครอบคลุม 3 มิติได้แก่ การสร้างรายได้ เปิดการค้าระหว่างประเทศ, การขยายโอกาส และการดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคง

“เป้าหมายของรัฐบาลนี้คือการทำให้พี่น้องเกษตรกรมีรายสุทธิเพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 4 ปี ต้องดูทั้งอุปสงค์ อุปทานให้เหมาะสม มีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อไม่ให้สินค้าล้นตลาด ราคาตกต่ำ วางแผนบริหารพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ โดยพิจารณาปัจจัยให้ครบทุกมิติ” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า นอกจากภาคการเกษตรแล้ว ภาคการผลิต อุตสาหกรรมเอง ก็จะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องหลังจากการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน Digital Wallet ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ ส่วนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคมทั้งถนน น้ำ ราง อากาศ จะต้องมีการวางแผนลงทุนอย่างเป็นระบบ และต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องมีรางรถไฟ ให้สามารถส่งสินค้าจากเมืองต่าง ๆ ไปยังตลาดได้ จะต้องเชื่อมต่อกับรางรถไฟของโลกด้วย

นายเศรษฐา ระบุว่า เรื่องการต่างประเทศที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือการเปลี่ยนการทูตของเรา ให้ Pro-active มากยิ่งขึ้น เราจะไม่รอคำเชิญจากนานาประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เราจะ “รุก” ออกไปพบ ไปคุย ไปจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อบอกชาวโลกว่า “Thailand is open” หรือ “ประเทศไทยเปิดแล้ว” การดำเนินงานหลากหลายนโยบาย จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และทำให้รัฐบาลสามารถปรับค่าแรงขั้นต่ำตามเศรษฐกิจได้ เป็น 600 บาทต่อวัน ปริญญาตรี 25,000 ภายในปี 70

นายเศรษฐา ระบุว่า เรื่องที่ดิน รัฐบาลนี้จะต้องช่วยทำให้พี่น้องได้มีโฉนด มีเอกสารสิทธิครบถ้วน ด้านการศึกษา ทำให้หลักสูตรมีความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ และอาจรวมถึงการทำให้ลดปริมาณงาน การเรียน การบ้าน และปัจจัยอื่น ๆ รวมถึงการท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่เมืองหลัก แต่ยังมีเมืองรองด้วย ทำให้ครบวงจร ให้เที่ยวได้ตลอดทั้งปี เรื่องปัญหาภัยคุกคาม ต้องวางแผนการรับมือให้เหมาะสม ต้องมีการบริหารจัดการกำลังพล ทรัพยากรให้เหมาะสมกับยุคสมัย

“รัฐบาลนี้จะจัดการยาเสพติดให้หมดสิ้น บำบัดและส่งคืนลูกหลานที่ติดยาสู่ครอบครัว จัดการกับผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ป้องกันการแทรกแซงการบริหารราชการ” นายเศรษฐา ระบุ

นายกรัฐมนตรี ระบุอีกว่า ยังมีเรื่องของภัยธรรมชาติ การดูแลบริหารน้ำอย่างครบวงจร การใช้น้ำให้เกิดประโยชน์ การทำให้น้ำไม่ท่วม-ไม่แล้งในทุกฤดูต่าง ๆ เดินหน้าแก้ไขฝุ่น PM2.5 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการเสนอ พรบ. อากาศสะอาดเข้าสภาไปแล้ว และอีกเป้าหมายหนึ่ง คือการวางแผนที่จะทำให้ประเทศไทยเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050 การดำเนินการเรื่องทรัพยากรธรรมชาติเป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้ และใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ฉะนั้นเราจะรอช้าไม่ได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องสวัสดิการและสาธารณสุข ต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้น นำระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อให้บริการประชาชน ลงทุนทำระบบเชื่อมต่อฐานข้อมูลของคนไข้ทั้งประเทศ ทำให้เข้าถึงศูนย์รักษาพยาบาลใกล้บ้านในราคา 30 บาท สร้างศูนย์ดูแลผู้มีความจำเป็นต่าง ๆ สถานธรรมาภิบาล โรงพยาบาลเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองต่อสภาพสังคมสูงวัย รวมถึงคนทำงาน ต้องดูแลให้มีรายได้ที่เป็นธรรม สนับสนุน สิทธิมนุษชน และความเท่าเทียมของคนทุกกลุ่ม รวมถึงความโปร่งใสในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยวานต่าง ๆ และการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

“เป้าหมายชัดเจนด้านเศรษฐกิจ คือการทำให้ GDP ของประเทศโตเฉลี่ย 5% ตลอด 4 ปีนี้ และทำให้รายได้ขั้นต่ำให้ถึง 600 บาทในปี 2570 เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูง ขอทุกภาคส่วนร่วมกันดูแลประชาชนทุกภาคส่วนให้มีชีวิตอย่างมีความสุข มีสวัสดิการที่เหมาะสม ทำให้เขาเลี้ยงชีพได้อย่างสมศักดิ์ศรี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายเศรษฐา ระบุว่า รัฐบาลจะมีเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ผมตั้งใจที่จะบริหารจัดการการคลังด้วยความรอบคอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรักษาวินัยและเสถียรภาพทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ในการวางแผนใช้จ่ายงบประมาณปี 67 ผมขอวางกรอบความสำคัญ 5 ข้อต่อไปนี้

1.ขอให้จัดทำงบและเบิกจ่ายงบประมาณตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อสภาไป และคำนึงถึงกรอบกฎหมายและวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ขอให้ทุก ๆ หน่วยงานพิจารณาดูว่าอะไรที่ทำได้ก็ขอให้ดำเนินการทำไปก่อน แต่อย่าลืมเรื่องความถูกต้องตามกระบวนการ

2.ขอให้ทุกหน่วยงานทำงานกันอย่างบูรณาการ วางแผนงบประมาณไม่ให้ซ้ำซ้อนกันหลาย ๆ โครงการในอดีตที่เคยทับซ้อนกัน ขออย่าให้เกิดภาพแบบนั้นอีกภายในรัฐบาลนี้

3.ขอให้วางแผนและจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐ และวินัยการเงินการคลัง การทำแผนงานหรือโครงการ ขอให้ทำตามความจำเป็นเร่งด่วน และสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพิ่มประสิทธิผล และเพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน ทำให้ประชาชนเห็นว่าเงินภาษีของพวกเขา ถูกใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์

4.โครงการ แผนงาน ต่าง ๆ จะต้องมีตัวชี้วัด หรือมีเป้าหมาย ที่ก่อให้เกิดผลดีกับพี่น้องประชาชน หรือเกิดผลเชิงบวกทางเศรษฐกิจ ไม่สนับสนุนการทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลให้ประเทศ ประชาชน เพราะจะเป็นการนำภาษีประชาชนไปละลายแม่น้ำเสียเปล่า ๆ ไม่สนับสนุนการนำงบประมาณไปทำอะไรที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดประสงค์ที่จับต้องได้ ไม่มีความชัดเจน ฉะนั้น ขอให้พิจารณาลดแผนงานหรือโครงการต่าง ๆ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป หรือถ้าเป็นไปได้ก็ยกเลิกแผนงานหรือโครงการที่ไม่มีความชัดเจน

5.ขอให้จัดทำแผนการใช้จ่ายโดยพิจารณาให้ครบทุกแหล่งเงินทุน (Source of funding) ทั้งเงินนอกงบประมาณ และเงินงบประมาณ หลาย ๆ หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ เช่น รายได้ เงินสะสม ขอให้นำมาใช้ดำเนินภารกิจก่อน และขอให้ช่วยกันลดภาระงบประมาณประเทศ โดยพิจารณาการใช้เงินแหล่งอื่น ๆ เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชน หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ เป็นต้น

“เราทุกคนมีส่วนร่วมที่จะต้องช่วยกันดูแลสถานะ ความมั่นคง ของการเงินการคลังในระยะยาว ถึงแม้งบประมาณปี 67 จะล่าช้า แต่ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย มีความระมัดระวัง อย่าให้เศรษฐกิจสะดุด ฉะนั้นในการทำงบประมาณปีนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาประเด็นทั้งกรอบความสำคัญทั้ง 5 ข้อ ขอให้ทุกท่านวางแผนงบประมาณให้มีสิทธิภาพ เพื่อจะได้ใช้ภาษีของประชาชนทุกบาท ทุกสตางค์ อย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์ต่อคนไทยทุกคน” นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend