นายกฯ มอบนโยบายตำรวจ ย้ำ ยึดหลักนิติธรรม เป็นพึ่งของประชาชน
นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายข้าราชการตำรวจ ย้ำ ยึดหลักนิติธรรม เป็นพึ่งของประชาชน ร่วมกันปกป้องสถาบันฯ ยกเป็นอาชีพที่หนักที่สุดในโลก พร้อมสนับสนุนภารกิจ สตช.ในทุกด้าน หวัง สร้างการปราบปราม ยาเสพติด – อาชญากรรมออนไลน์ – ค้ามนุษย์ ให้เป็นกลไกระดับสากล เผยสาเหตุ ไม่ตั้งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เพราะอยากทำงานกับตำรวจโดยตรง
วันนี้ (1 ต.ค. 68) เวลา 13:30 น. ที่อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายโครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และระดับผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 แก่ผู้บริหาร และข้าราชการตำรวจ 338 นาย โดยมี พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะมาให้การต้อนรับ
นายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า วันนี้ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกแปลกๆ เพราะความสัมพันธ์ของพวกเรานั้น ไม่ค่อยมีแบบนี้เท่าไหร่ ซึ่งตนนั่งเกร็งมาตลอด ตั้งแต่ลงจากรถ พี่ต่าย (พล.ต.อ.กิตต์รัฐ) ก็ได้มารายงานตัว ตนมั่นใจว่า เรามีความเป็นพี่น้องกันมากกว่าเป็นระดับผู้บังคับบัญชา จะเรียกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เพราะคำว่าพี่น้องสำคัญกว่าเพื่อน และมากกว่า 80 % ของนายตำรวจในห้องนี้ มีความผูกพัน และสัมพันธ์กันนับทศวรรษ โดยหลายคนเคยเห็นตนตอนวิ่งอยู่แถวห้องสำนักงานของ พล.ต.อ.สนอง วัฒนวรางกูร อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นพ่อตาของตน และบางคนเคยเห็นตนวิ่งอยู่ตรงสำนักงานของ พล.ต.อ. ธวัชชัย ภัยลี้ อดีต รอง ผบ.ตร.ซึ่งเป็นที่ที่ตนได้พบกับพี่ต่าย และก็เห็นตนนั่งเล่นตรงสำนักงานของ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร. จึงทำให้ตนได้รู้จักกับหลายๆ คนในที่นี้
ดังนั้น ในวันนี้ถือเป็นการมาพบกัน หนึ่งในภาระหน้าที่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญมาทำการมอบนโยบายแก่ข้าราชการตำรวจในโครงการนี้ ตั้งแต่ระดับผู้บังคับการหรือเทียบเท่าขึ้นไป ถือเป็นระดับนายพลทั้งนั้น และเมื่อพูดถึงหน้าที่ตำรวจนั้น ตนตระหนักดีว่าอยู่ในอาชีพที่หนักที่สุดในโลก ตนได้เคยเห็นการทำงานของพวกท่าน ในขณะที่คนอื่นไปเที่ยวในช่วงเทศกาล แต่ตำรวจต้องอยู่เฝ้าพื้นที่ให้กับประชาชน ต้องทำงานอยู่ภายใต้การกดดันตลอดเวลา หลับนอนไม่เป็นเวลาบริหารจัดการเวลาส่วนตัวได้ยาก และแน่นอนว่าต้องอยู่ท่ามกลางภัยต่างๆ และความคาดหวังจากสังคมที่สูงมาก
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตำรวจที่ตนถูกบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก ถือเป็นที่พึ่งพา เพราะตนเป็นเด็กที่อาม่าเลี้ยง ร้องไห้หรือดื้อก็ถูกบอกจะให้ตำรวจจับหรือถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะจับส่งตำรวจ ไม่ว่าทำอะไรก็จะส่งตำรวจอยู่เสมอ สุดท้ายตนจึงได้มาเป็นลูกเขยตำรวจ แต่ก็ทำให้ตนได้บ่มเพาะนิสัย ที่ทำให้เชื่อมั่นในเรื่องของวินัย และความทุ่มเทเสียสละ ของตำรวจ หรือเรื่องของความคิด และเรื่องของการเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน

ดังนั้น ในเมื่อเป็นผู้ที่พิทักษ์สันติราษฎร์มาดูแลประชาชนให้กับรัฐบาล ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งวันนี้ตนถือว่าเป็นผู้ที่มีบุญพาวาสนาส่งให้มาเป็นหัวหน้ารัฐบาล และความสัมพันธ์ของตนกับคนทั้งหลายในห้องนี้ เหนือกว่าคำว่ามิตรภาพ ดังนั้นตนพร้อมที่จะสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกด้าน ทั้งในเรื่องการดูแลทรัพยากรบุคคลให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม การเจริญเติบโตก้าวหน้าในด้านหน้าที่ราชการ สวัสดิการ การดูแลสุขภาพใจของพี่น้องข้าราชการตำรวจทุกนาย ไม่ใช่แค่ที่นั่งอยู่ในห้องนี้แต่ยังรวมถึงผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ตำรวจมีความพร้อมในการดูแลประชาชน
นายอนุทิน ยังกล่าวอีกว่า การทำงานต่างๆ ตนได้มีโอกาสมาเรียนร่วมกับหลายคนในหลักสูตรรวมมิตร ทำให้ตนได้เห็นอัจฉริยภาพ ความสามารถทางราชการไม่ใช่เฉพาะตำรวจ หรือทหาร และข้าราชการพลเรือนเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ตนใกล้ชิดกับตำรวจตนได้เห็นความรู้ความสามารถ และทำให้ความรู้สึกต่อข้าราชการตำรวจความมั่นใจมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว จึงได้นำแนวความคิดยุทธศาสตร์ที่หลายคนได้พูดคุยกับตนในช่วงนี้ที่มาเข้ารับการอบรม จากนั้นเราก็มีโอกาสได้ทำงานร่วมกันในหลายภารกิจ เมื่อตนได้เข้ามาร่วมทำงานในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยแรก ก็ได้กำกับดูแลทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยว และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งช่วงนั้นมีภัย ทำให้ต้องร่วมงานกับตำรวจอย่างหนักในช่วงสถานะสถานการณ์โควิด-19 ต้องรับมือกับความกดดัน และความเครียดของประชาชน
นอกจากนี้ สิ่งที่ตนยังต้องการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทุกคนได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และทุ่มเททุกสรรพกำลังที่มีอยู่ คือเรื่องยาเสพติด ตนไม่อยากให้หัวหน้ารัฐบาลท่านไหนมาแล้วก็มาพูดเรื่องนี้กับท่านว่ายาเสพติดถือว่า เป็นภัยลำดับแรกที่สำคัญที่สุด จะต้องมีหมู่บ้านสีขาว มีการเอ็กซเรย์ แต่อยากให้หัวหน้ารัฐบาลไม่ว่าท่านไหนที่จะมาต่อจากตน เมื่อมาพูดเรื่องนี้กับท่าน ก็ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สามารถลุกขึ้นยืนตอบแทนตำรวจทุกคนได้ ว่า ได้จัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ปัญหายาเสพติดถือว่าเป็นภัย แต่ก็เป็นภัยที่ตำรวจควบคุมได้ ปัญหาพนันออนไลน์ อาชญากรข้ามชาติ ค้ามนุษย์ หลอกลวงประชาชน และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ล้วนแต่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของพี่น้องประชาชน ยิ่งปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ตนถามว่า แล้วชีวิตพวกเราสบายขึ้นหรือไม่ ชีวิตพวกเรากลับยิ่งเครียดขึ้นเป็นลำดับ มีเรื่องนี้เมื่อไหร่ตำรวจโดนก่อนมหาดไทยแน่นอน เพราะจะเกิดคำถามว่าตำรวจทำไมไม่จับไม่ดำเนินการ สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาต่อขวัญและกำลังใจ เมื่อจับก็ต้องมีการโยกย้ายเรียกตัวช่วยราชการ ไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่เป็นบวกให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากต้องมานั่งลงโทษกัน สู้เราสร้างกลไกที่เป็นระดับสากล ไม่ว่าใครเข้ามาก็ขอให้ปฏิบัติตามกลไกนี้ และเชื่อว่ากลไกนี้จะต้องปราบอาชญากรรมต่างๆ ให้ได้ในระดับที่ไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามสูงสุดของประเทศ ส่วนเรื่องเคสเล็กเคสน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องไม่ให้เป็นภัยที่ทำลายประเทศ และทำลายพี่น้องประชาชนให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลได้
ส่วนเรื่องของการสนับสนุน ตนให้สัตยาบันกับผู้บัญชาการแห่งชาติ และผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกท่าน ว่า นอกจากภารกิจหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ตนไม่ยอมตั้งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เพราะอยากทำงานกับตำรวจโดยตรง ฉะนั้นตนเชื่อว่า ในยุคที่ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยุคที่พวกพี่ๆ ทุกคนอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครรู้จักตำรวจดีกว่าตน ไม่มีใครมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตำรวจมากเท่าตน และตนเชื่อของตนแบบนี้ ตนจึงขอกำกับดูแลหน่วยงานนี้เองด้วยความภาคภูมิใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบสนองที่เท่าเทียมกันจากพี่ๆ ทั้งหลาย
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า วันนี้เป็นการสัมมนาของผู้ที่อยู่ในระดับบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ละท่านมียศตั้งแต่พลตำรวจตรีขึ้นไป สำหรับตนถือว่าเป็นนายพลทั้งนั้น นายพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไม่เป็นนายพลที่เขาบอกว่าเรี่ยราด แต่นายพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องมีความเข้มแข็งตั้งแต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการแห่งชาติ และผู้ช่วยผู้บัญชาการแห่งชาติ ต้องเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เป็นกำลังสำคัญของประเทศ ทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ และตนก็มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขด้วย ฉะนั้นจะไม่มีช่วงไหนที่เราจะไม่สามารถบูรณาการทำงานความร่วมมือกันได้ ทั้งฝ่ายปกครอง และตำรวจ ที่เราจะบันดาลความสันติสุขทั้งหลายให้เกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชน และประเทศของเรา
“ขอให้ทุกท่านยึดมั่นในหลักนิติธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เพื่อให้องค์กรของพวกเรา คือสำนักงานตัวแห่งชาติเป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่ดำรงความเป็นนิติรัฐให้กับประเทศไทย และเป็นที่พึ่งของประชาชน ในฐานะที่เขามองว่าเราคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของพวกเขา” นายอนุทิน กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้พวกเราทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด และไว้ใจกัน มองประโยชน์ของประเทศ และประชาชนเป็นหลัก ที่สำคัญพวกเราต้องร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของพวกเรา และไม่ให้ใครมาทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำความเสื่อมเสียว่ากล่าวให้ร้ายสถาบันสูงสุดของเรา นี่คือภารกิจหลักอย่างหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าท่านจะมีเครื่องหมาย ว.ป.ร. อยู่บนบ่าของท่านหรือไม่ แต่ยศของท่านตั้งแต่เป็นนายตำรวจยศแรก ท่านได้ได้รับพระราชทานมา เพราะฉะนั้น ยศนี้เป็นของพระองค์ท่าน เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์เราด้วยชีวิต













