‘บุญสงค์’ ปลัดแรงงาน เข้ารับตำแหน่งวันแรก พร้อมหนุนความเป็นธรรมคนทำงานทุกภาคส่วน
‘บุญสงค์’ ปลัดแรงงาน เข้ารับตำแหน่งวันแรก แถลงผลักดันนโยบาย ปี 68 สร้างความเชื่อมั่น สนับสนุนความเป็นธรรมแก่คนทำงานทุกภาคส่วน พร้อมวางมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยระยะเร่งด่วน
วันนี้ (1 ต.ค. 67) เวลา 14.00 น. นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวแถลงนโยบายกระทรวงแรงงานและแนวทางการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยจะขับเคลื่อนภารกิจสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการทำงานของผู้ทำงานทั่วประเทศ ตอบสนองความท้าทายด้านแรงงานในปัจจุบัน และส่งเสริมการสร้างระบบแรงงานที่มั่นคง มีประสิทธิภาพ และทันสมัย
นายบุญสงค์ กล่าวว่า จะใช้นโยบายกระทรวงแรงงาน ปี 2568 “หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจ แรงงานไทยมั่นคง” เป็นเข็มทิศในการทำงาน พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับแรงงานทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบ แรงงาน นอกระบบ ผู้ประกอบการ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะดำเนินนโยบายหลักให้ทุกภาคส่วนได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิประโยชน์ที่เป็นธรรม
นายบุญสงค์ กล่าวถึงมาตรการในการช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่า คณะกรรมการประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม มีมติเห็นชอบ มาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน ดังนี้
1.การลดอัตราเงินสมทบ ช่วงระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่งวดเดือนตุลาคม 2567 ถึงงวดเดือนมีนาคม 2568 โดยอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 33 และนายจ้าง ลดจาก 5% เหลือ 3% และอัตราเงินสมทบสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 ลดจาก 9% เหลือ 5.9% (เหลือจ่ายสมทบเดือนละ 283 บาทต่อเดือน) สามารถลดภาระนายจ้างและผู้ประกันตน 7 พันกว่าล้านบาท จำแนกเป็น สมทบฝ่ายนายจ้าง 3,400 ล้านบาท และผู้ประกันตน มาตรา 33 และ 39 จำนวน 3,700 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่เคยจ่ายเงินสมทบ 750 บาทต่อเดือน (คำนวณจากเงินค่าจ้าง 15,000 บาท) จะได้ลดอัตราเงินสมทบเดือนละ 300 บาท เหลือจ่ายสมทบเดือนละ 450 บาท รวม 6 เดือน ได้ลดเงินสมทบคนละ 1,800 บาท สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 จากเดิมจ่ายเงินสมทบเดือนละ 432 บาท จะได้รับการลดอัตราเงินสมทบเดือนละ 149 บาท รวม 6 เดือน ได้ลดเงินสมทบ 894 บาท
2.ขยายระยะเวลานำส่งเงินสมทบ โดยสำนักงานประกันสังคมขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 งวดกันยายน – ธันวาคม 2567 ให้นายจ้างสามารถนำส่งเงินสมทบได้ภายใน 4 เดือน นับจากงวดที่ต้องนำส่งตามมาตรการ เช่น งวดกันยายน 2567 สามารถนำส่งได้ภายในเดือนมกราคม 2568
3.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ.2567 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกันตนในการเข้าถึงการซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ลดภาระทางการเงินในการผ่อนชำระที่อยู่อาศัยและส่งเสริมความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกันตน วงเงินสินเชื่อในโครงการ 10,000 ล้านบาท ครอบคลุม 72 จังหวัด โดยวงเงินสินเชื่อกระจายตามสัดส่วนของผู้ประกันตนที่มีสิทธิ ในแต่ละจังหวัด ไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท
นายบุญสงค์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่14) ครั้งที่ 11/2567 มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ซึ่งมีบุตรตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จากเดิม 800 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณายกร่างปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนาม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ทั้งนี้ ให้ปรับอัตราเหมาจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเป็นอัตรา 1,000 บาทต่อเดือนต่อบุตรหนึ่งคน สำหรับบุตรที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี และได้รับสิทธิคราวละไม่เกิน 3 คน
ส่วนการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในระยะเร่งด่วนหลังน้ำลด กระทรวงแรงงานดำเนินการโดยการจ้างให้ทำงานที่เป็นงานสาธารณประโยชน์ และเป็นประโยชน์ต่อชุมชน โดยได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานวันละ 300 บาท ซึ่งในฐานะปลัดกระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าผลักดันนโยบายให้แรงงานได้รับการคุ้มครองและการสนับสนุนที่เป็นธรรม