POLITICS

‘ประเสริฐ’ จี้ ‘อนุทิน’ เปิดสัญญาซื้อขายซิโนแวคต่อประชาชน หลังพบส่วนต่างกว่า 2,000 ล้านบาท

ประเสริฐ’ จี้ ‘อนุทิน’ เปิดสัญญาซื้อขายซิโนแวคต่อประชาชน หลังพบส่วนต่างกว่า 2,000 ล้านบาท ชี้วัคซีนเป็นสินค้าควบคุม ต้องแจงรายละเอียดให้ชัด พร้อมมอบฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย รวบรวมหลักฐานวัคซีนโก่งราคา เตรียมยื่น ปปท.

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง สมาชิกผู้แทนราษฎร นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยภายหลังจากที่เมื่อวาน (31 ส.ค. 64) ได้เปิดเอกสารการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ซึ่งพบส่วนต่างกว่า 2,000 ล้านบาท โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงแล้วว่า เงินส่วนต่างไม่ได้หายไปไหน และส่งคืนหลวงไปหมดแล้ว

นายประเสริฐมองว่า นายอนุทินตอบไม่ตรงคำถาม เพราะกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่ถูกต้อง ต้องมีสัญญาที่ระบุจำนวน ราคา และวันส่งมอบที่ชัดเจน รวมถึงการอนุมัติวงเงินต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยสำนักงบประมาณ โดยการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคมีขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง พบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติวงเงินเพียง 3 ครั้ง ทั้งยังไม่พบสัญญาการซื้อขาย มีแต่เพียงใบสั่งซื้อเท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบว่า การอนุมัติจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคในวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 จำนวน 10.9 ล้านโดส วงเงิน 1,611 ล้านบาท เฉลี่ยโดส ละ 17 บาท เป็นราคาที่สูงกว่าการจัดซื้อจริง เพราะการจัดซื้อวัคซีนในครั้งหลัง ๆ ราคาต่อโดสลดลงมาเรื่อย ๆ เหลือ 15 บาท 14 บาท 9.5 บาท และ 9 บาทตามลำดับ ทั้งนี้ได้มีหลายหน่วยงานทั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ และกลุ่มหมอไม่ทนได้ทักท้วงรัฐบาลให้นำเข้าวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่าแล้วแต่ไม่เป็นผล

วัคซีนโควิด-19 ถือเป็นเวชภัณฑ์ และสินค้าควบคุม การจัดซื้อจึงต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจนและเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และองค์การเภสัชกรรมต้องเปิดเผยสัญญาการซื้อขายกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนซิโนแวค พร้อม มติครม.ที่อนุมัติวงเงินในการจัดซื้อแต่ละครั้ง ต่อสาธารณชน เพราะประชาชนเกิดความเคลือบแคลง สงสัย

ทั้งนี้ยังพบว่า การจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคในขณะนี้มีจำนวนมากถึง 30.5 ล้านโดส จากเดิมที่จะจัดซื้อประมาณ 13 ล้านโดส และรัฐบาลยังเตรียมจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์อีก 20 ล้านโดส ซึ่งมีราคาสูงกว่าความเป็นจริง โดยตนเองได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเตรียมยื่นกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) แล้ว

ส่วนภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจใน 2 วันนี้ พรรคเพื่อไทยจะเน้นไปที่ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ การเกษตร การท่องเที่ยว และการเงิน โดยได้ขอความร่วมมือให้สมาชิกพรรคไม่โหวตสวนมติพรรคเพื่อเป็นการแสดงเอกภาพ พร้อมฝากถึงนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าหากไม่ชี้แจงประเด็นต่าง ๆ ให้ชัดเจน อาจมีผลต่อการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเส้นทางการเมืองของตนเองให้ดี หากไปต่อไม่ได้ก็ต้องลาออก

Related Posts

Send this to a friend