ส่วนการจ่ายเงินชดเชยแบ่งออกเป็นสองประเภทตามกฎหมายกำหนดโดยใช้เงื่อนไขอายุการทำงานและเงินเดือนล่าสุดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ซึ่งกลุ่มพนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 20 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินชดเชยรวม 400 วันหรือประมาณ 13 เดือนส่วนกลุ่มพนักงานที่มีอายุงานต่ำกว่า 20 ปีจะได้รับเงินชดเชย 300 วันหรือ 10 เดือน และหากคำนวณตามมาตรการเยียวยาชดเชยแล้วพนักงานบางคนจะได้รับเงินชดเชย และเงินบำเหน็จรวมสี่ล้านบาทเศษ และผู้ที่ได้รับเงินต่ำสุดจะได้รับไม่น้อยกว่า 500,000 บาท
การชดเชยโดยรวมครั้งนี้เจ้าหน้าที่ขององค์การค้าฯ จะได้รับมากกว่าพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไปที่มีการเลิกจ้าง และ พนักงานที่ถูกเลิกจ้างทั้ง 961 คน นั้นมีอายุงานเฉลี่ย 25 ปีห้าเดือน และมีเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 31,287 บาทซึ่งการพิจารณาชดเชยครั้งนี้ สกสค. ต้องใช้เงินเดี๋ยวยาทั้งหมดไม่น้อยกว่า 1,285 ล้านบาท และยังคงสิทธิ์ในการพิจารณาค่าทำงานในวันพักร้อนซึ่งอยู่ระหว่างการคิดคำนวนเพิ่มเติมอีกด้วยโดยเงินทั้งหมดทางองค์การค้าฯ ต้องไปกู้ยืมเพื่อมาดำเนินการในการจ่ายค่าชดเชยครั้งนี้
พร้อมย้ำว่าทางบอร์ดบริหาร และรัฐมนตรีว่าการฯ มีความห่วงใยว่า ในระหว่างนี้ หากพนักงานมีเงินก้อนไปใช้จ่ายล่วงหน้าก่อนก็จะเป็นเรื่องดีถือเป็นการแบ่งเบาภาระ หรืออาจจะช่วยเหลือให้พนักงานบางคนไปตั้งตัวได้
ส่วนเงินเดือนมิถุนายนนั้น องค์การฯ สามารถจ่ายเงินให้ได้แค่ร้อยละ 62 ตามกฎกระทรวง และองค์การค้าก็ไม่ใช่บริษัทเอกชนแม้จะมีสถานการณ์โควิด-19 และวันนี้บอร์ดจึงมีมติจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาร่งด่วนให้ไป 100,000 บาทก่อนระหว่างการจัดการเงินเดือนมิถุนายน
นายประเสริฐยังย้ำว่าการเลิกจ้างพนักงาน ลูกจ้างขององค์การฯ ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของ นายอดุล บุสสา ผอ.องค์การฯคนใหม่ที่เข้ามารับหน้าที่ จะต้องเสนอแผนจัดพิมพ์เข้ามาภายใน 30 วันแล้วเสนอมาที่บอร์ดรวมถึงแนวทางจัดสรรหาพนักงานชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำงานต่อแต่ต้องอยู่ไนระเบียบของ องค์การฯใหม่โดยเฉพาะฐานเงินเดือนที่ต้องปรับใหม่ และย้ำว่าการจ่ายเงิน 100,000 บาทนี้จะไม่มีผลต่อการฟ้องร้องใดๆ ทางกฎหมายพนักงาน และลูกจ้างทุกคนสามารถไปฟ้องร้องต่อได้
และบอร์ดขอยืนยันว่าการเลิกจ้างครั้งนี้ดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนการทุจริตที่ทางสหภาพแรงงานฯออกมาเปิดเผยนั้น กระทรวงศึกษาฯ พร้อมจะเปิดรับทุกข้อมูลขอให้แจ้งมาแต่ยืนยันว่าเหตุที่เลิกจ้างเพราะการแข่งขันธุรกิจสู้กับตลาดภายนอกไม่ได้จึงขาดทุนสะสมมากกว่า 6,700 ล้านบาทในเวลา 15 ปี