INVESTMENT

‘บีโอไอ’ เผย ยอดส่งเสริมลงทุนไตรมาสแรกปี 66 มูลค่า 1.8 แสนล้าน รับโต 77 %

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก ปี 2566 มูลค่ารวมกว่า 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 77 % นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน หลังผู้ประกอบการยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ พร้อมมุ่งยกระดับผู้ประกอบการสู่ Smart and Sustainable Industry ไทยเป็นฐานการผลิตระดับโลก

นายนฤตม์ กล่าวต่อว่า สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก (ม.ค. – มี.ค.) ปี 66 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 397 โครงการ เพิ่มขึ้น 9 % และมีมูลค่าเงินลงทุน 185,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77 % เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้ง ในส่วนคำขอส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายมีจำนวน 205 โครงการ มูลค่ารวม 154,414 ล้านบาท คิดเป็น 83 % ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน โดยขณะที่การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม มีจำนวน 77 โครงการ มูลค่า รวม 4,434 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานหมุนเวียน 60 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3,333 ล้านบาท

“ตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากสถานการณ์โควิดเริ่มผ่อนคลาย ประเทศผู้ลงทุนหลักกลับมาเปิดประเทศ ประกอบกับมีแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีคำขอเพิ่มขึ้นมาก และที่สำคัญ บีโอไอได้เริ่มประกาศใช้ยุทธศาสตร์ 5 ปี และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้มีนักลงทุนสนใจขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่เป็นจำนวนมาก” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 128 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 101,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84 % โดยจังหวัดที่มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมสูงสุด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ตามลำดับ ด้านการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่นิคมหรือเขตอุตสาหกรรมทั่วประเทศ มีจำนวน 114 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 122,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 313 % โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน

ในส่วนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศใน เดือน ม.ค. – มี.ค. 66 มีจำนวน 211 โครงการ เพิ่มขึ้น 10 % เงินลงทุน 155,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 % โดยอันดับ 1 เกาหลีใต้ เป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุดกว่า 31,400 ล้านบาท เนื่องจากมีการขอรับการส่งเสริมโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อันดับ 2 ได้แก่ สิงคโปร์ มีจำนวน 30 โครงการ เงินลงทุน 29,742 ล้านบาท มีโครงการใหญ่ในกิจการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์จากบริษัทแม่สัญชาติแคนาดา 1 โครงการ เงินลงทุน 18,500 ล้านบาท และกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากบริษัทแม่สัญชาติจีน 1 โครงการ เงินลงทุน 6,400 ล้านบาท ขณะที่ประเทศจีน เป็นอันดับ 3 มีจำนวน 38 โครงการ เงินลงทุน 25,001 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 87 %) และญี่ปุ่น เป็นอันดับ 4 มีจำนวน 53 โครงการ เงินลงทุน 24,771 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 147 %)

“ตัวเลข FDI ในช่วงไตรมาสแรก มีโครงการลงทุนจากเกาหลีใต้ และสิงคโปร์เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีโครงการใหญ่ที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่ในปีนี้ ขณะที่ตัวเลขการลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น แม้จะอยู่ในอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ แต่ก็เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติที่เลือกใช้ไทยเป็นฐานผลิตสำคัญในภูมิภาคนี้” นายนฤตม์ กล่าว

นอกจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ ที่ดึงดูดให้นักลงทุนย้ายฐานผลิตมายังประเทศไทยแล้ว บีโอไอ ยังได้มุ่งยกระดับผู้ประกอบการไทย ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs โดยบีโอไอได้จัดงาน SUBCON THAILAND 2023 ระหว่างวันที่ 10 – 13 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตไทย ซึ่งมีผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมมาร่วมออกงานกว่า 160 บริษัท โดยมีบริษัทผู้ซื้อจากต่างประเทศกว่า 10 ประเทศ และบริษัทผู้ซื้อรายใหญ่ในประเทศกว่า 20 บริษัท เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกว่า 8,500 คู่ ซึ่งคาดว่าการเจรจาดังกล่าวจะสร้างมูลค่าการซื้อขายชิ้นส่วนกว่า 20,000 ล้านบาท โดยตลอด 4 วัน มีผู้เข้าชมงานจำนวนกว่า 42,000 คน

Related Posts

Send this to a friend