เศรษฐกิจเปลี่ยนทิศหลังดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แนะกระจายการลงทุน
KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจไพรเวทแบงก์จากสวิตเซอร์แลนด์ จัดสัมมนาในหัวข้อ “Shifting Tides : Economic Dynamics And Portfolio Rebalancing After Rate Hikes” เพื่อประเมินเศรษฐกิจโลกปี 2567 โดยคาดว่าจะเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง ชี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หลังการหยุดขึ้นดอกเบี้ยและการทยอยปรับตัวลดลงในช่วงมีนาคม แนะแบ่งเงินลงทุนสร้างผลตอบแทนระยะยาว เน้น Risk-based กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลักทั่วโลกผ่าน ALL ROADS Series พร้อมกระจายลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น และการลงทุนทางเลือก ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองไทยต้องการเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ คาด GDP ไทยโต 3.1%
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา ตลาดลงทุนเผชิญกับหลายเหตุการณ์ที่สร้างความผันผวน ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกที่เสถียรภาพการเงินโลกสั่นคลอน จากการปิดตัวลงของ Silicon Valley Bank (SVB) และวิกฤต Credit Suisse (CS) ขณะที่ไตรมาส 2 ตลาดปรับตัวขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่เข้าใกล้จุดสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 3 เศรษฐกิจจีนไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดหวัง ทำให้ภาพรวมตลาดอ่อนแอลงอีกครั้ง ประกอบกับความไม่แน่นอนของ FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ยว่าจะหยุดขึ้นหรือจะขึ้นต่อ ตามด้วยความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ตลาดการลงทุนปรับตัวลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ตลาดมีแนวโน้มดีขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม จากการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ FED และส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยในปี 2567 ทำให้ผลตอบแทนสำหรับปี 2566 ของตลาดหุ้นโลกปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 23%
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ราว 3.1% จากการลงทุนภาครัฐ การบริโกคภาคเอกชน และการส่งออกสินค้าที่คาดว่าขยายตัว 2% รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.6 ล้านคน ทั้งนี้ หากมีมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต อาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มเป็น 3.6% อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเครื่องจักรใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปสู่ระดับศักยภาพในระยะยาว
ด้าน โฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist Lombard Odier (สิงคโปร์) สรุป 5 มุมมองต่อเศรษฐกิจโลกที่น่าสนใจ ดังนี้
1.เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถเลี่ยงภาวะถดถอยและขยายตัวช้าลงแบบ Soft landing ด้านเศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัวในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังมีความท้าทาย จำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้กลับมาปกติ
2.เงินเฟ้อจะลดลงต่อ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนเงินเฟ้อจีนจะทรงตัวในระดับใกล้เคียง 1%
3.ธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรป หยุดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วในปี 2566 และจะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2567 แต่จะไม่ต่ำเท่าระดับก่อนโควิด ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นดอกเบี้ยและออกจากยุคดอกเบี้ยติดลบในช่วงไตรมาส 2 ส่วนจีนจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
4.ตลาดจะจับตาเรื่องการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและประเทศคู่ค้า รวมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
5.เงินลงทุนจะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้มากขึ้น เพราะดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและจะลดลงในปี 2567 ตลาดหุ้นยังมีความท้าทายเพราะผลตอบแทนเทียบกับดอกเบี้ยไม่น่าดึงดูดเท่ายุคดอกเบี้ยต่ำ การหาผลตอบแทนต้องเน้นที่การคัดเลือกหุ้นที่โดดเด่น
ทั้งนี้ KBank Private Banking แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว ออกเป็น 2 ส่วน คือ
พอร์ตหลัก (Core portfolio) 50-70% โดยเลือกกองทุนผสมแบบ Risk-based approach ที่กระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ โภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน ด้วยกลยุทธ์หลักที่บริหารเชิงรุกและยืดหยุ่นสูง ตามวัฏจักรเศรษฐกิจและดัชนีตลาดที่สำคัญ เพื่อให้พอร์ตโฟลิโอยืดหยุ่น แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารเชิงรุกในการจัดดสรรสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยง อย่างกองทุน All Roads Series
พอร์ตเสริม (Satellite portfolio) 30-50% โดยแบ่งการลงทุน ดังนี้
1.ตราสารหนี้ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี เน้นตราสารที่มีอายุคงเหลือยาว จากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยมีความน่าสนใจ มีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาเมื่อ FED ปรับลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว แนะนำกองทุน K-GDBOND และ TUSBOND เสริมพอร์ตด้วยตราสารหนี้ประเภท CoCo Bond ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และให้ผลตอบแทนน่าสนใจ หลังดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ผ่านกองทุน UPINCM-N สำหรับหุ้นกู้ความเสี่ยงสูงหรือกลุ่ม High Yield (HY) อาจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหลังต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น
2.หุ้น เช่น หุ้นกลุ่ม Growth ทั่วโลก หลังดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดและจะเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงย่อมเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง แนะนำกระจายลงทุนทั่วโลก เนื่องจากหุ้นเทคฯ ในสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในปี 2566 แนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-CHANGE
หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นอกจากจะได้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นแล้ว ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้า หลัง FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ทำให้ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ แนะนำให้ลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-INDIA
3.การลงทุนทางเลือก แนะนำกระจายลงทุนในเฮดจ์ฟันด์หลายกลยุทธ์ เช่น กลยุทธ์มหภาค และเทรดตามแนวโน้ม (Trend following) ช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยง จากความสามารถในการใช้หลากหลาย Indicators เพื่อ Long/Short สินทรัพย์หลัก ทั้งหุ้น และตราสารหนี้ โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน ASP-LEGACY-UI และ LHMCMULTIUI
กลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก พิจารณาจากปัจจัยด้านพื้นฐาน เช่น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ดุลการชำระเงิน รวมทั้งกระแสเงินไหลเข้า–ออก แนะนำให้ลงทุนในกองทุน DAOL-FXALPHA-UI