เหยื่อจรวดกองทัพกัมพูชา ชายสุรินทร์วอนรัฐช่วยเหลือ หลังบ้านถูก BM-21 ถล่มพังยับ – ไร้ที่อยู่อาศัย
“จริงอยู่ว่าเราอยู่แนวชายแดน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาลงบ้านเรา และภายในพริบตาเดียว พรากไปทั้งบ้าน และคนที่เรารัก บ้านก็เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ แต่คนที่ถูกพรากไป เป็นแก้วตาดวงใจเรา“ เสียงจากครอบครัวผู้สูญเสียหลาน 2 คน จากการโจมตีของกัมพูชา วอนหน่วยงานรัฐเร่งช่วยเหลือ หาที่อยู่ให้ก่อน เหตุ บ้านพังทั้งหลัง
วันนี้ (30 ก.ค. 68) นายสุธีร์ (สงวนนามสกุล) เจ้าของบ้านที่ได้รับผลกระทบจากกระสุนการใช้จรวดหลายลำกล้อง BM 21 จากฝ่ายกัมพูชาโจมตีเข้ามายังบ้านเรือนประชาชนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ในพื้นที่ ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งทำให้หลานชายทั้ง 2 คนเสียชีวิต ซึ่ง 1 ในนั้นคือ ด.ช. น้ำโขง วัย 8 ขวบ
นายสุธีร์ กล่าวว่า ตนเองนำอาหาร และเครื่องดื่ม มาให้กับหลานทั้งสอง โดยหลานคนโตชอบดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนน้องน้ำโขง ชอบกินน้ำหวาน กับขนม ซึ่งขนมหาไม่ได้ เพราะร้านปิด โดยได้มีการจุดธูปบอกหลานทั้งสองว่า ต่อไปก็ดูแลน้องน้ำโขงนะ ให้เป็นพ่อเป็นลูก ตอนที่อยู่ชาตินี้ ก็เป็นลูกเป็นหลาน แต่ต่อจากนี้ก็ให้ไปเป็นลูกแล้วกัน อยากให้ดูแลดี ๆ ให้ไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ ไม่เคยทำบาปใคร ยังบริสุทธิ์ หากมีโอกาสเหตุการณ์สงบ ก็จะทำอุทิศส่วนกุศลไปให้
นายสุธีร์ ระบุว่า วันนี้มีโอกาสกลับเข้ามาในบ้านวันแรก หลังเกิดเหตุ เพราะเรายังไม่กล้าเข้ามา ซึ่งตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่ายจนถึงวันนี้ ยังไม่ได้ยินเสียงลูกปืน ก็เลยเข้ามาสำรวจความเสียหาย เมื่อเห็นสภาพแล้วก็ทำใจลำบากมาก ๆ เลย เมื่อเห็นสภาพบ้านแล้วก็รับไม่ได้ กว่าจะสร้างมาได้ขนาดนี้ใช้เวลากว่า 10 ปี ร่วมสร้างกันมากับแฟน เก็บหอมรอมริบกันมานาน ไม่ได้สร้างทีเดียวจบ กว่าจะเสร็จ ก็ใช้เวลานาน เมื่อเสร็จแล้วก็ภูมิใจ กว่าจะได้เทปูน ทำกระเบื้อง กว่าจะได้แต่ละตารางเมตร ใช้เวลานานมาก ความรู้สึกความทรงจำมานานมาก แต่พอมาภายในพริบตา มาเห็นสภาพแล้วก็เหนือคำบรรยายจริง ๆ ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้
“ไม่เคยคิดเลย จริงอยู่ว่าเราอยู่แนวชายแดน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาลงบ้านเรา และภายในพริบตาเดียว พรากไปทางบ้านและคนที่เรารัก บ้านก็เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ แต่คนที่พรากไป เป็นแก้วตาดวงใจเรา ทุกคนรักหลานคนเล็ก เขาไม่มีแม่ เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ทุกคนก็ต้องประคบประหงม ไม่ว่าปู่ย่าน้ายาย หรือคนรอบข้าง ก็ทะนุถนอม เวลาป่วยไข้แต่ละที เหมือนป่วยทั้งบ้าน แต่พอเหตุการณ์มันเกิดกลับเอาเขาไป ไม่มีวันกลับแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่อย่างไรจะหนาวหรือไม่จะรู้ตัวหรือยัง“ นายสุธีร์ กล่าว
นายสุธีร์ กล่าวอีกว่า จากบ้านที่เราเคยอยู่ ถึงเราจะฐานะไม่ดี มีบ้านอยู่ มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอน แต่ตอนนี้ดูแล้ว ไม่ว่ายุ้งฉาง บ้านเรือนก็เสียหาย 100% พร้อมทั้งอุปกรณ์ทำมาหากินก็ไม่เหลือเลย และก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะหันไปทางทิศไหน ดำเนินการอย่างไร คิดไม่ออกจริง ๆ
ส่วนหากให้อพยพกลับเข้ามาในพื้นที่ได้แล้วนั้น ตอนนี้ก็ยังเป็นปัญหากับความรู้สึกมาก ๆ ทำใจลำบาก และแม่บ้าน และครอบครัว จากที่เคยอยู่วิ่งเล่น เมื่อมาเห็นสภาพ ก็คงจะเจ็บช้ำในความรู้สึกค่อนข้างมาก และไม่รู้เลยว่าจะต้องไปพักอาศัยอยู่ตรงจุดไหนอย่างไร มองไม่ออก จากที่เราไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใจ ไม่ว่าจะคนใกล้ ไกล หรือเพื่อนบ้าน แต่ ณ วันนี้ชะตากรรมครอบครัวเรา คงจะคิดอีกทีหนึ่ง และไม่มีที่อยู่จริง ๆ
ส่วนความช่วยเหลือจากรัฐบาลนั้น ในเบื้องต้นตนเองอยากขอที่พักอาศัยหน่วยงาน หรือส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีความเมตตา ในวันที่มีการประกาศให้อพยพภูมิลำเนา ตนเองก็ขอให้หน่วยงานไหนที่สามารถช่วยเหลือได้ ก็วิงวอนให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ก่อนอันดับแรก และหลังจากนั้น บ้านตนเองเสียหายมากทั้งหลังเลยโดยเท่าที่ทราบมาจะมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องระยะยาว แต่ในเบื้องต้น ถ้าประกาศให้กลับบ้าน สิ่งสำคัญเร่งด่วนก็คือยังไม่มีที่พักอาศัยเลย
“ตอนนี้ตนคิดอะไรไม่ออก มืดแปดด้านไปหมดเลย” นายสุธีร์ กล่าว
นายสุธีร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีหน่วยงานภาครัฐติดต่อมาแล้ว 2 – 3 หน่วยงาน ซึ่งก็ขอแจ้งความจำนงเรื่องบ้าน โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมเอกสาร ซึ่งกว่าจะแล้วเสร็จ ก็คงต้องใช้เวลา เพราะเราก็คงไม่ได้วันนี้ พรุ่งนี้ แต่การเข้ามาอยู่ เราจะเข้ามาอยู่ในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
ทั้งนี้ นายสุธีร์ ยังนำน้ำหอมกลิ่นโปรดของหลานที่รักมาไว้ให้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ หลานชอบฉีดน้ำหอมไปโรงเรียน เพราะตัวจะได้หอม ๆ และจะได้รับคำชมจากคุณครู

















