HUMANITY

เสวนาสร้างเครือข่ายความปลอดภัยดิจิทัล ชี้ Sharenting อาจกระทบสิทธิของเด็ก-เสี่ยงต่อความปลอดภัย

ด้าน ‘ศศินันท์’ เผย กฎหมายไทยยังไม่เท่าทันต่อการคุ้มครองเด็ก แนะ บูรณาการหน่วยงาน หาเจ้าภาพหลักในการปกป้องสิทธิเด็ก

วันนี้ (17 ก.ย. 68) สำนักข่าวออนไลน์ The Reporters ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเสวนาออนไลน์เพื่อสร้างเครือข่ายความปลอดภัยดิจิทัลป้องกันภัยไซเบอร์ ‘Sharenting: เมื่อพ่อแม่คือคนที่เปิดเผยข้อมูลลูกมากที่สุด’ โดยมี สุธาทิพ ลาภสมทบ ผู้เชี่ยวชาญกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กทม. พรรคประชาชน และเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น

สุธาทิพ กล่าวว่า Sharenting เป็นศัพท์ที่มาจากคำว่า sharing และ parenting มารวมกัน ความหมายคือการที่พ่อแม่แชร์เรื่องราวของลูกบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มี 3 คำถามสำคัญคือ

1.กระทบสิทธิของลูกหรือไม่ มีภาพที่อาจทำให้ลูกรู้สึกเสียหาย หรืออับอายหรือไม่ บางทีเราทำแล้วขำแต่ลูกอาจไม่ขำด้วย
2.ปลอดภัยสำหรับลูกหรือไม่ การเปิดเผยข้อมูล เช่น สถานที่ หรือกิจวัตรประจำวัน ซึ่งมีกรณีที่เด็กถูกดูดรูปไปใช้สร้างเป็นอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมา ซึ่งการเปิดรูปลูกเป็นสาธารณะ อาจเปิดโอกาสให้ใครก็ตามเข้ามาเอารูปลูกไปใช้
3.ได้รับความยินยอมจากเด็กหรือไม่ สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย อาจมีความรู้สึกไม่อยากให้โพสต์ หรือแชร์ตัวเองออกไปให้ใครเห็น

ทั้งนี้ การสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลให้ลูก ต้องทำให้เด็กเข้าใจว่าร่างกายเป็นของเขา ไม่มีใครทำอะไรกับร่างกายของเขาเองได้ถ้าไม่ได้รับการยินยอมแม้กระทั่งพ่อแม่ก็ตาม รวมถึงต้องสอนคำว่า ‘ไม่’ ให้เด็กกล้าปฏิเสธ อีกทั้งต้องฝึกให้เด็กรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

ศศินันท์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่แค่รูปที่หลุดออกไป แม้แต่รูปเด็กทั่ว ๆ ไป ก็ถูกนำไปสร้างใหม่โดย AI ให้เป็นผู้ใหญ่ได้ ทำภาพได้หลายแบบ นำไปสู่การเกิดอาชญากรรมร้ายแรง อาจนำไปสู่การล่วงละเมิดเด็กในอนาคตได้ ซึ่งในประเทศไทยกำลังมีการพูดถึงกฎหมายในการปกป้องเด็กจากเรื่องเหล่านี้ แต่ยังไม่ได้ผ่านเข้ามาในสภาฯ

เอกลักษณ์ กล่าวว่า เวลาเราตามหาคนหาย คนมักติดภาพว่าวิธีการคือการนำภาพมาประกาศ แต่คนอาจไม่รู้ว่า การประกาศภาพเป็นวิธีสุดท้ายสำหรับการตามหาคนหาย ส่วนกรณีเด็กหาย ในปีหนึ่งมีเด็กหายที่นับได้ประมาณ 500 รายต่อปี วิธีการตามหาเริ่มจากการสืบสวนเป็นหลักก่อน

ปัญหาอยู่ที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่เวลาเด็กหายมักเลือกที่จะแชร์ภาพประกาศก่อน ซึ่งมีโอกาสที่ภาพเกิดการแชร์ต่อเป็นวงกว้าง มีสำนักข่าวนำภาพไปประกาศซ้ำ ซึ่งมีโอกาสเจอ แต่เจอในแบบที่เด็กรู้สึกอับอาย รู้สึกไปไหนมาไหนแล้วมีคนจำได้

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ตามมาหลังจากเด็กกลับบ้านคือ เด็กไปเรียนหนังสือไม่ได้ ไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะมีคนจำได้ว่าหายออกจากบ้าน อีกทั้งภาพติดของสังคมที่มีต่อเด็กหาย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง คือ ออกไปเจอใครสักคนมา นอกจากนี้ ภาพหรือชื่อที่ใช้ประกาศตามหา ก็จะถูกติดอยู่บนโซเชียลไปตลอด ยากที่จะนำออกได้

ในกรณีเลือกใช้ภาพประกาศตามหา จึงเป็นกรณีที่ประเมินแล้วว่า โอกาสหาเจอเหลือน้อย หรือเด็กถูกลักพาตัว อาจเกิดอันตราย รวมถึงกรณีเด็กมีภาวะทางพัฒนาการ ต้องชั่งน้ำหนักว่าสิ่งไหนควรประกาศ หรือไม่ โดยอาศัยเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก

ศศินันท์ กล่าวถึงแง่มุมด้านกฎหมายสิทธิเด็กว่า เรื่องของเด็กไปอยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ แต่กลับไม่มีองค์กรไหนเป็นเจ้าภาพหลักในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็ก ซึ่งสภาฯ เพิ่งผ่านกฎหมายไม่ตีเด็ก ที่ต้องฝ่าความคิดเก่าของสังคมว่า ‘ฉันจะทำอะไรกับลูกฉันก็ได้’ ต้องกลับไปมองว่า ‘เด็กไม่ใช่ทรัพย์สิน’ แม้แต่ร่างกายของเด็กเอง พ่อแม่ก็ไม่สามารถไปทำร้ายได้

สำหรับเรื่องการแชร์ภาพ ถือเป็นเรื่องใหม่ แต่กฎหมายไทยยังไปไม่ทัน ขณะที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เป็นกฎหมายกว้าง ๆ ยังไม่มีส่วนไหนที่จะมาปกป้องโดยตรง จุดที่จะแก้ไขได้จริงคือต้องบูรณาการหน่วยงาน โดยมีเจ้าภาพหลักในเรื่องของการปกป้องสิทธิเด็ก

เอกลักษณ์ ชี้ว่าผู้ใหญ่จำเป็นต้องตระหนักการไม่นำเด็กมาเป็นเครื่องมือในการสร้างยอดเอนเกจเมนต์ แม้เรื่องของเด็กจะเป็นมุมน่ารัก ซึ่งคนยังมองว่าเรื่องนี้ไม่เป็นไร เป็นเรื่องน่ารัก การสร้างความตระหนักรู้แก่พลเมืองบนโลกโซเชียลจึงสำคัญเช่นกัน

ศศินันท์ กล่าวเสริมว่า นโยบายที่เกี่ยวกับเด็กมักได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย เนื่องจากการลงทุนในเด็กกว่าจะเห็นผลใช้เวลานาน และไม่ใช่นโยบายประชานิยม ขณะที่งบประมาณในเด็กค่อนข้างน้อย แต่ใช้งบประมาณที่ปลายทางเยอะ ปัญหาสังคมต่าง ๆ มักเกิดจากวัยเด็ก 0-6 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กจะพัฒนามากที่สุด และสำคัญที่สุด รัฐควรต้องซัพพอร์ตไม่ใช่เพียงแค่เด็ก แต่ต้องรวมถึงพ่อแม่เพื่อให้มีเวลาได้ดูแลลูกมากขึ้น

เอกลักษณ์ กล่าวถึงสถานการณ์เด็กบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันว่า เด็กมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากจากการเห็นโพสต์รับงานจากมิจฉาชีพ หลายกรณีมีการช่วยเหลือแบบที่ไม่ได้เป็นข่าว แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไข พรรคการเมืองต่าง ๆ จึงควรมีนโยบายในแต่ละระยะเพื่อนำเสนอการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเด็กต่อไป

Related Posts

Send this to a friend