ผู้หนีภัยการสู้รบในรัฐกะเหรี่ยงยังหวาดกลัวเสียงเครื่องบินขณะที่เด็กๆ เริ่มป่วยหลังฝนตกหนักติดกันหลายวัน
วันนี้ (6 เม.ย. 64) เป็นเวลา 10 วันแล้วที่ชาวกะเหรี่ยงหนีภัยการสู้รบจากทหารพม่าทีโจมตีทางอากาศหมู่บ้านเด่ปูโหน่ เมืองมือตรอ รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางทหารของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) หรือเคเอ็นยู ทำให้ชาวบ้านนับหมื่นคนต้องเข้าไปหลบซ่อนในป่า และหลายพันคนอพยพมาอยู่ริมแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นชายแดนไทย-พม่า ที่ อ.สบเมย และ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
หลังจากที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้ทหารไทยยอมเปิดเส้นทางเพื่อนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปบริจาคให้ชาวบ้านผู้อพยพ จนเมื่อเช้าวันที่ 5 เม.ย. ได้มีการอนุญาตให้นำข้าวสารและเสบียงที่มีผู้นำมาบริจาคและกองไว้ที่บ้านแม่สามแลบไปให้ชาวบ้านที่หมู่บ้านแม่นือท่า ฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน โดยมีชาวบ้านอพยพมากว่าพันคน อย่างไรก็ตาม ข้าวของบริจาคที่นำมาช่วยเหลือครั้งนี้ ยังไม่เพียงพอ โดยสิ่งที่ชาวบ้านต้องการมากที่สุดคือ ข้าวสารและเกลือ
ขณะเดียวกันตลอดทั้งวันที่บริเวณท่าเรือแม่สามแลบ ยังคงมีบุคคลและองค์กรต่างๆ นำข้าวของใส่รถกระบะมาช่วยเหลือราว 5-6 คัน โดยทางทหารพรานได้อนุญาตเฉพาะผู้ที่ประสานงานผ่านกาชาด ทำให้ผู้บริจาคบางส่วนที่ตั้งใจนำข้าวของมาช่วยเหลือไม่สามารถผ่านด่านได้
สำหรับสถานการณ์ที่ค่ายผู้อพยพอิตูท่า ตรงข้าม ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง ชาวบ้านที่พลัดถิ่นยังคงหลบซ่อนอยู่ในป่า ไม่กล้ากลับเข้าไปอยู่ในค่าย ทั้งนี้ การที่เกิดฝนตกหนักตลอดทั้งวันทั้งคืนทำให้ชาวบ้านต้องเผชิญความลำบากมากขึ้น เนื่องจากไม่มีผ้าใบหรือสิ่งที่ใช้กันฝน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่พบว่าเริ่มป่วยไข้มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ยารักษาโรคยังขาดแคลน
แหล่งข่าวจากเคเอ็นยู เปิดเผยว่า ในส่วนของฐานที่มั่นทางทหารเคเอ็นยู กองพล 5 ที่บ้านเด่ปูโหน่นั้น ยังมีเสียงเครื่องบินตรวจการณ์ของทหารพม่าดังอยู่ทุกวัน นอกจากนี้ ทหารพม่ายังใช้โดรนบินสอดแนมเข้ามาในพื้นที่อยู่เป็นระยะ ทำให้ชาวบ้านในชุมชนที่อยู่โดยรอบกว่าหมื่นคน หวาดกลัวและไม่มีใครกล้ากลับชุมชน โดยยังคงหลบซ่อนกระจัดกระจายตามป่าเขาและริมแม่น้ำสาละวิน ขณะที่ทางการพม่าได้ขอความร่วมมือมายังทางการไทย ขอให้ตัดสัญญาณโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต และสัญญาณไวไฟทั้งหมด