บำรุงราษฎร์ยกระดับศูนย์ข้อเสื่อมฯ ผงาดอันดับ 1 เอเชีย ชูนวัตกรรมดูแลครบวงจร

วันนี้ (27 พ.ค. 68) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ประกาศยกระดับ “ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์” (Advanced Arthritis & Arthroplasty Center) หรือ เอเอเอ (AAA) เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ พร้อมเปิดมิติใหม่ในการดูแลรักษาด้วยทีมศัลยแพทย์เฉพาะทาง นวัตกรรมการรักษาและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการดูแลแบบเฉพาะบุคคล การพัฒนานี้เกิดขึ้นหลังโรงพยาบาลได้รับการจัดอันดับจาก Newsweek ให้เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียด้านการผ่าตัดเข่าและสะโพกในปี 2568
สถานการณ์โรคข้อเข่าเสื่อมทั่วโลกและในประเทศไทยมีความน่ากังวล โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2562 ระบุว่ามีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมราว 528 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 55 ปี และเป็นเพศหญิงถึง 60% สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคนี้มากกว่า 6 ล้านคน และน่ากังวลว่า 70% ของผู้มีอาการปวดเข่าไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น
นายแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวในงานแถลงข่าว “Move Freely, Live Fully” ว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 20.7% ของประชากร หรือประมาณ 13.65 ล้านคน ทำให้โรคข้อเสื่อมซึ่งสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นปัญหาสำคัญ แม้โรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะที่ข้อเข่าและข้อสะโพก จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ บำรุงราษฎร์จึงได้ก่อตั้งศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ขึ้น นำโดยศาสตราจารย์นายแพทย์อารี ตนาวลี เพื่อมอบทางเลือกการรักษาที่ครอบคลุมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงเคสที่มีความซับซ้อนสูง
ศาสตราจารย์นายแพทย์อารี ตนาวลี หัวหน้าศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาโรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ยังพบในวัยทำงานที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบนั่งนาน ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือเล่นกีฬาผิดท่า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถเร่งให้เกิดภาวะข้อเสื่อมเร็วขึ้นได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ความเสื่อมจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ติดขัด ข้อผิดรูป และกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน
ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ บำรุงราษฎร์ เน้นการดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุมด้วยทีมศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อที่ทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ มีการวางแผนการรักษาผ่านระบบ Case Conference และติดตามพัฒนาการรักษาผ่าน Monthly Monitoring Meeting ศูนย์ฯ ยังนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ เช่น การผสมผสานเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (MIS) ร่วมกับเทคนิคคุมปวดแบบพิเศษ (Minimal Pain Arthroplasty) ที่เรียกว่า Opioid-Free Anesthesia ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของโรงพยาบาล ช่วยลดการใช้มอร์ฟีน ลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว สามารถลุกเดินได้ภายใน 10 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีระบบการฟื้นฟูหลังผ่าตัดที่ชัดเจน (Milestone Recovery Program) โดยเน้น 3 เกณฑ์หลักก่อนผู้ป่วยกลับบ้านคือ ความปลอดภัยสูงสุด การฟื้นฟูให้เคลื่อนไหวได้ดี และสร้างความมั่นใจในการกลับไปใช้ชีวิต
นายแพทย์ชาลี สุเมธวานิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม ของโรงพยาบาล กล่าวถึงการผ่าตัดข้อเข่าและข้อสะโพกในกรณีที่มีความซับซ้อนสูง (Complex Primary Joint Replacement) ว่าต้องอาศัยประสบการณ์ของศัลยแพทย์และการวางแผนที่แม่นยำ เคสเหล่านี้มักมีความท้าทาย เช่น ผู้ป่วยข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด ข้อผิดรูปจากอุบัติเหตุ กระดูกบาง หรือเคยติดเชื้อมาก่อน เช่นเดียวกับการผ่าตัดซ่อมเสริมหรือเปลี่ยนข้อเทียมใหม่ (Revision Joint Replacement Surgery) ซึ่งมีความซับซ้อนกว่าการผ่าตัดครั้งแรก เนื่องจากข้อเทียมเดิมอาจเกิดปัญหาหลวม เคลื่อน หรือติดเชื้อ โดยทางศูนย์ฯ มีความพร้อมในการดูแลเคสเหล่านี้อย่างครบวงจร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์สีหธัช งามอุโฆษ แพทย์เฉพาะทางอีกท่านหนึ่งของศูนย์ฯ ได้เน้นย้ำถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted Joint Replacement) ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (THR) การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (UKA) และการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด (TKA) เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวางตำแหน่งข้อเทียม ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้แผลผ่าตัดเล็กลง ผู้ป่วยบาดเจ็บน้อย เสียเลือดน้อย และฟื้นตัวเร็ว การทำงานร่วมกับเทคโนโลยี CT 3D Pre-Operative Planning ยังช่วยให้การวางแผนและดำเนินการผ่าตัดแม่นยำยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่ออายุการใช้งานของข้อเทียม
นายแพทย์สุรพจน์ เมฆนาวิน แพทย์เฉพาะทางของศูนย์ฯ กล่าวถึงแนวทางการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมและเฉพาะบุคคล (Seamless Patients Journey and Personalized Care) ตั้งแต่การวินิจฉัยจนถึงการฟื้นฟูและติดตามผล ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัย ฟื้นตัวไว ลดภาวะแทรกซ้อน ลดระยะเวลาพักฟื้น และลดภาระค่าใช้จ่าย ผลลัพธ์ทางคลินิกที่โดดเด่นของศูนย์ฯ ได้แก่ อัตราการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัดเพียง 0.69% อัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระหว่างการรักษาในโรงพยาบาลอยู่ที่ 0.40% และอัตราการกลับมาผ่าตัดซ้ำภายใน 30 วันอยู่ที่ 0% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ดีกว่าเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ทางศูนย์ฯ ยังตั้งเป้าให้ผู้ป่วยสามารถลุกเดินด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดินได้อย่างน้อย 15 เมตร ภายใน 3 วันหลังผ่าตัด