HEALTH

กรมอนามัย ชี้ กินข้าวไข่ต้มคลุกน้ำปลาสารอาหารไม่เพียงพอ แนะเด็กกินให้หลากหลาย

วันนี้ (27 เม.ย. 66) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีการกินไข่ต้มกับน้ำปลาและราดน้ำผัดผักบุ้งว่า การกินลักษณะนี้ไม่เหมาะสมตามหลักโภชนาการ เพราะเด็กวัยเรียนเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลากหลายชนิดในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมกับการเจริญเติบโต การกินลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร อีกทั้งเด็กยังได้รับโซเดียมมากเกินไปจากน้ำปลาและน้ำราดผักบุ้ง รวมทั้งได้รับพลังงานจากข้าวมากเกินไป เพราะกินผักและไข่น้อย ไม่อิ่มท้อง

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อว่า แม้ไข่จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่การบริโภคไข่อย่างเดียวเป็นประจำ ทำให้เด็กวัยเรียนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต เด็กวัยเรียนควรกินไข่ร่วมกับอาหารอื่นให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ ควรกินไข่วันละ 1 ฟอง ควบคู่กับการดื่มนมจืด กินข้าว เนื้อสัตว์ ผักแ ละผลไม้อย่างหลากหลาย เด็กอายุ 6 -14 ปี ควรได้รับพลังงานเฉลี่ยวันละ 1,600 กิโลแคลอรี ใน 1 มื้อควรกินข้าวหรือแป้ง 2-3 ทัพพี เนื้อสัตว์ 3-4 ช้อนกินข้าว ผัก 3-4 ช้อนกินข้าว ผลไม้ 6–8 ชิ้นพอดีคำทุกมื้อ ร่วมกับนม 2 แก้วต่อวัน ควรฝึกให้เด็กกินอาหารที่ลดหวาน มัน เค็ม ลดการเติมเครื่องปรุงรส ลดเครื่องดื่มรสหวาน ชานมไข่มุก น้ำอัดลม ควบคุมการซื้อขนมกรุบกรอบ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น เป็นต้น จัดให้มีนมรสจืด และผลไม้ติดตู้เย็น ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 6-8 แก้วต่อวัน

“ที่สำคัญ พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเด็ก มีบทบาทมากที่จะช่วยให้เด็กห่างไกลจากภาวะผอม เตี้ย น้ำหนักเกิน และอ้วน โดยการลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง ให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น ชวนเด็กกระโดด โลดเต้น เล่นให้สนุก จนรู้สึกเหนื่อย อย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน ฝึกขับถ่ายเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอวันละ 9-11 ชั่วโมง ควรเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน ไม่ควรใช้ห้องนอน และเตียงนอนเป็นที่เล่นคอมพิวเตอร์ แท็ปเลต โทรศัพท์มือถือ และรับประทานอาหาร”

“ทั้งนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรติดตามเฝ้าระวังการเจริญเติบโต โดยสามารถประเมินภาวะโภชนาการของบุตรหลานตนเองได้ด้วยกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 6–19 ปี เพื่อให้เด็กมีการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กมีปัญหาโภชนาการขาดและเกิน ทำให้เด็กรอดพ้นจากผลเสียของภาวะเตี้ย ภาวะผอม และภาวะอ้วน ส่งผลให้ปัญหาทุพโภชนาการลดลงด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

Related Posts

Send this to a friend