HEALTH

สสส. เผย ภาวะเครียดและซึมเศร้า ปัญหาอันดับหนึ่งของนักศึกษาไทย วอนร่วมหาทางออก

นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และเครือข่ายผู้แทนจากมหาวิทยาลัย 15 แห่ง ในเวทีแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อน มหาวิทยาลัยสุขภาวะในประเทศไทย เดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา พบสถิติพฤติกรรมสุขภาพ ของนิสิตนักศึกษาในหลายประเด็นที่น่าวิตกกังวล และควรเร่งดำเนินการ เพื่อหาแนวทางลดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะด้านสภาวะสุขภาพทางจิต หลังพบนิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย มีความเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีความคิดอยากฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ 4 และร้อยละ 12 ได้เคยลงมือทำร้ายร่างกายตนเองแล้ว โดยในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 1.3 ที่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายตนเอง บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา ซึ่งวัตถุประสงค์การสำรวจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในครั้งนี้ เพื่อได้ทราบถึงสาเหตุและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า “ผลสำรวจได้ระบุถึงประเด็นสุขภาพจิต ของนิสิตนักศึกษาร้อยละ 30 รู้สึกเศร้าบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 4.3 ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่า มีอาการทางจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) เกือบร้อยละ 40 มีความเครียดบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดยกว่าร้อยละ 4 ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมด เคยคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา ร้อยละ 12 ได้เคยลงมือทำร้ายร่างกายตนเองแล้ว โดยในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 1.3 ที่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายตนเองบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา”

“การเผยผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพ ของนิสิตนักศึกษาฯในวงกว้างครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้ระดับผู้บริหารสถาบันการศึกษาได้รับรู้ และเริ่มดำเนินการวางแผนจัดการ ภายในมหาวิทยาลัย รวมถึงขอความร่วมมือจากครูอาจารย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัย เพื่อยกระดับให้นิสิตนักศึกษา มีสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ และเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีศักยภาพพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนประเทศ โดยทุกปัญหาที่สะท้อนออกมาจากผลสำรวจล้วนสำคัญ แต่ปัญหาที่เร่งด่วนอันดับต้นๆ ก็คือเรื่องความเครียดและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรสำรวจต่อในเชิงรุก เพื่อจะรับรู้ถึงสาเหตุและระดับ ของปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรงจุด เพราะการป่วยทางสภาพจิตใจ ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังปัญหาอื่นๆ ซึ่งหากนักศึกษาเกิดความเครียดจากการเรียน ทางมหาวิทยาลัยเองก็บริหารจัดการ อาทิ หากิจกรรมที่ผ่อนคลาย หรือจัด Health Promotion เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อให้นักศึกษาจัดการกับความเครียดของตัวเอง แต่หากอยู่ในขั้นที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ก็จำเป็นต้องมีระบบการส่งต่อที่ดี ไปยังหน่วยงานด้านสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย เพื่อการดูแลในขั้นตอนต่อไป เป็นต้น”

“ปัญหารองลงมาคือด้านการเงิน เนื่องจากการที่รับรู้ว่าครอบครัวมีภาระหนี้สิน หรือแม้แต่ตัวนักศึกษาเองหากติดพนันออนไลน์ หรือมีหนี้นอกระบบ ก็ย่อมส่งผลให้เกิดความเครียดตามมา ซึ่งก็ควรมีแนวทางบริหารจัดการทางการเงิน และอีกปัญหาสำคัญอีกประการ คือ เหล้า บุหรี่ และยาเสพติดอื่นๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่เวลามีความเครียดสะสมมากๆ ก็อาจหลงผิดไปพึ่งพาสิ่งเสพติดเหล่านี้ ซึ่งต้องคำนึงถึงสถานที่ตั้งของสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ควรให้ห่างจากสถาบันการศึกษา ซึ่งในเชิงนโยบาย ควรมีตัวบทกฎหมายควบคุมอย่างชัดเจน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

ทุกปัญหาควรได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ซึ่งจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบร่วมกัน โดยกลุ่มแรกที่ควรให้ความร่วมมือ ได้แก่ 1.ผู้บริหารสูงสุดและผู้บริหารระดับรองๆ ลงมาของสถาบันการศึกษา เพราะจะเป็นผู้ที่สามารถบริหารได้ทั้งสถาบัน สามารถคิดและวางกลไกในการดูแลนิสิตนักศึกษาได้ และจะต้องทำงานกันเป็นทีม
2.พ่อแม่และผู้ปกครอง เพราะครอบครัวเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยดูแลนิสิตนักศึกษาได้อย่างใกล้ชิด
3.กลุ่มเพื่อน เพราะด้วยช่วงวัยนี้จะติดเพื่อน เชื่อเพื่อน ซึ่งเพื่อนเองก็ต้องคอยสังเกตเพื่อนด้วยกัน คอยดูแลใส่ใจกัน ซึ่งจากหลายผลวิจัยจะเห็นว่าโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก”

“ทางมหาวิทยาลัยเอง ก็ต้องให้ความรู้ไปพร้อมๆกัน หรือควรมีการนำเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในส่วนต่างๆ เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมของนิสิตนักศึกษา เป็นต้น อีกทั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถือเป็นหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง สามารถดำเนินการเพื่อลดปัญหาสุขภาวะดังกล่าวได้ เนื่องจาก อว.มีอำนาจในการสั่งการและวางนโยบายต่างๆ อาทิ ให้ทุกมหาวิทยาลัยมีการดูแลสุขภาพ ทั้งในส่วนของนักศึกษาและบุคลากร นอกจากนี้โรงพยาบาลและสถานพยาบาลในมหาวิทยาลัย หรือศูนย์พยาบาลสำหรับนิสิตนักศึกษา ก็สามารถช่วยเหลือได้ โดยสามารถยกระดับในการสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยการออกแบบแคมเปญการดูแลสุขภาพในเชิงรุก หรือเป็น Health Leader ยกตัวอย่างอาจปรับสถานพยาบาล ให้เป็น Wellness Center คือไม่รอให้คนป่วยเดินเข้าไปหา แต่ต้องทำในเชิงป้องกันมากขึ้น เช่น จัดเวิร์คช้อปให้ความรู้ด้านสุขภาพ,เชิญชวนนักศึกษาและบุคลากรออกกำลังกาย,ให้ความรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยี เป็นต้น”

รศ.ดร.ญาณีพร พัชรวรโชติ รักษาการแทนผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า “ทางสจล.มองว่าเรื่องสุขภาพจิตของนักศึกษา เป็นสิงที่น่ากังวลมากที่สุดและควรจะต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากผลสำรวจของสถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯพบว่า นักศึกษา สจล.มีความเครียดสูงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 และมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย สูงถึงร้อยละ 5 โดยที่ผ่านมา สจล.ได้มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสุขภาพจิตของนักศึกษาอยู่แล้ว แต่พอได้เห็นผลสำรวจฯ ยิ่งตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น และมีการวางแผนที่จะทำโครงการช่วยเหลือนักศึกษา และบุคลากรในด้านสุขภาพจิตให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น”

ก่อนหน้านี้ฝ่ายกิจการนักศึกษา จะมีบริการให้คำปรึกษาทางด้านสุขภาพจิต ผ่านโครงการ KMITL MIND ROOM โดยมีนักจิตบำบัดคอยให้คำปรึกษาทั้งรูปแบบ onsite และ online สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งในทุกเดือนจะมีการประชาสัมพันธ์ ทั้งช่องทาง Facebook และกระจายตามกลุ่ม LINE ของนักศึกษา สำหรับกรณีที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะมีการทำใบนัดส่งต่อไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นต้น

“โดยที่ผ่านมาโครงการช่วยเหลือนักศึกษาในด้านสุขภาพจิต ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ เช่น ช่วงวันเวลาที่ให้บริการน้อย โดยเฉลี่ยต่อหนึ่งชั่วโมงนักจิตบำบัด จะให้คำปรึกษาได้เฉลี่ย 2 คน อีกทั้งจำนวนผู้เชี่ยวชาญกับสัดส่วน ของนักศึกษาไม่สมดุลกัน รวมถึงงบจัดสรรสำหรับการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาไม่เหมาะสม จึงทำให้ทุกวันนี้ขาดแคลนนักจิตบำบัด จึงอยากหาแนวทางร่วมกันเพื่อสานต่อโครงการ KMITL MIND ROOM และให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสานต่อการจัดฝึกอบรมภาคปฎิบัติการ เกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิต ให้กับเจ้าหน้าที่บุคลากรที่ต้องทำงานร่วมกับนักศึกษาว่ากรณี ที่มีนักศึกษาเข้ามาปรึกษาควรจะดำเนินการอย่างไร แต่อาจต้องปรับกรอบการทำงานให้ชัดเจน และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น”

ดร. วิรัตน์ ปิ่นแก้ว อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม กล่าวว่า “มองปัญหาสุขภาพออกเป็น 2 มิติ คือ สุขภาพกาย และสุขภาพใจ โดยสุขภาพกายนั้นจะเห็นได้ว่าปัจจุบันภาวะอ้วนในวัยนักศึกษาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมรภ.นครปฐม มีแผนจะดำเนินการออกมาตรการ ในการดูแลสุขภาวะทางร่างกาย เช่น ดูแลเรื่องอาหารที่จำหน่ายในมหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยจะมีประชุมผู้ประกอบการลดการใช้สารปรุงรส เลือกใช้ผักปลอดสาร และคำนึงถึงสารอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของนักศึกษา โดยจะมีมาตรการสนับสนุนเรื่องการออกกำลังกายในมหาวิทยาลัย เช่น เพิ่มอุปกรณ์การกีฬาและนักศึกษาเบิกมาเล่นได้ เพิ่มพื้นที่ออกกำลังกายให้มากขึ้น เช่น โยคะ หรือลานสเก็ตบอร์ด รวมถึงอนุญาตให้นักศึกษาเข้ามาใช้สถานที่ออกกำลังกายนอกเวลาเรียน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของนักศึกษาเป็นสำคัญ”

สำหรับสุขภาพของจิตใจนั้น มองว่าภาวะเครียดและโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเกิดได้จากปัญหาแวดล้อมต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน การเรียน ครอบครัวและอื่นๆ โดยในส่วนนี้ได้เตรียมมาตรการให้อาจารย์ที่ปรึกษา เข้ามาช่วยดูแลนักศึกษาให้ใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งจะจัดทำแบบฟอร์มคู่มือเพื่อเป็นแนวทางในการปฎิบัติ รวมถึงจะมีการบริหารจัดการเวลาเรียนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ขยายเวลาลงซัมเมอร์ หรือเปิดบางวิชาในช่วงซัมเมอร์ เป็นต้น ทั้งนี้ในฐานะครูอาจารย์ทุกคนต่างก็อยากเห็นลูกศิษย์ อยู่ในมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข มีงานทำ และมีอนาคตที่ดี ทั้งนี้อยากวิงวอนให้ อว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุน และร่วมหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ และกำหนดในเชิงนโยบาย รวมถึงอยากให้สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ และ สสส.ได้ทำผลสำรวจในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อได้ทราบถึงสาเหตุและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น หากพบว่าความเครียดของนักศึกษาส่วนใหญ่ เกิดจากปัญหาการเรียน หลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย หรือสามารถระบุชัดเป็นคณะ ก็จะได้มีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้อย่างเป็นรูปธรรมและกำหนดเป็นแนวทางปฎิบัติอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีให้กับนักศึกษา เพื่อให้มีความสุขกับการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย มีสุขภาพที่ดีทั้งกายใจและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”

Related Posts

Send this to a friend