HEALTH

กรมการแพทย์ แนะสังเกตผิวหนังคนเอง หากมีผื่นขาว-แดง ไม่คัน แต่ชา ให้รีบพบแพทย์

วันนี้ (2 มี.ค. 66) นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย แพทย์หญิง มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ล่าสุดให้ข้อมูลกับประชาชน โดยการทำความรู้จักโรคเรื้อนหรือโรคเนื้อชา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แนะนำการดูแลและสังเกตผิวหนังตนเอง หากมีอาการผื่นขาว หรือผื่นแดง ไม่รู้สึกคัน มีอาการชาร่วมด้วย ให้รีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากเชื้อโรคเรื้อนนั้นจะทำให้ผิวหนัง และเส้นประสาทส่วนปลายเกิดความผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

นายแพทย์มานัส กล่าวว่า “เชื้อโรคเรื้อนจะไปทำให้เกิดความผิดปกติ ของผิวหนังและเส้นประสาทส่วนปลาย โรคเรื้อนในระยะเริ่มแรก จะเป็นโรคเรื้อนชนิดเชื้อน้อย มักพบเป็นผื่นไม่มาก ผื่นมีสีขาวหรือสีแดง ผิวหนังแห้งชา ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ในระยะนี้ โรคจะทวีความรุนแรงขึ้น เป็นโรคเรื้อนชนิดเชื้อมาก ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นนูน หรือตุ่มแดงทั่วตัว ไม่คัน และอาจมีอาการของเส้นประสาทถูกทำลาย ทำให้มีอาการมือเท้าชา กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ ประชาชนควรหมั่นดูแลผิวหนังตนเอง หากมีอาการดังที่กล่าวข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจรักษาที่ถูกต้อง ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกเพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรค ถึงขั้นเกิดความพิการตามมา”

ด้านแพทย์หญิงมิ่งขวัญ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โรคเรื้อน หรือ โรคเนื้อชา (Leprosy หรือ Hansen’s disease) เป็นโรคติดต่อเรื้อรัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ มัยโคแบคทีเรียม เลเปร (mycobacterium leprae) โรคเรื้อนเป็นโรคที่ติดต่อ ทางระบบทางเดินหายใจ ผ่านการ ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย แต่ไม่ใช่โรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย คนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ คือ คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วย ที่มีเชื้อมากเป็นเวลานาน และได้หายใจเอาเชื้อโรคนี้ลอยในอากาศเข้าสู่ร่างกาย แต่โดยทั่วไปมากกว่าร้อยละ 95 ร่างกาย คนเราจะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติต่อโรคเรื้อนอยู่แล้ว ถึงแม้จะได้รับเชื้อก็จะไม่ป่วยเป็นโรค โรคเรื้อนรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อโรคเรื้อน โดยต้องรักษาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 2 ปี แล้วแต่ความรุนแรงของโรค ความพิการ มือเท้าชา กล้ามเนื้อลีบอ่อนแรง ซึ่งการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวนับเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้”

Related Posts

Send this to a friend