ธุรกิจของเล่นไทย ปี 66 โตแบบก้าวกระโดด สร้างรายได้กว่า 19,677 ล้านบาท

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย ธุรกิจของเล่นไทย โตต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด ปี 2566 สร้างรายได้กว่า 19,677 ล้านบาท ชี้ ‘Kidult’ กำลังซื้อสำคัญ หลังกระแส Art Toy กำลังมาแรง
วันนี้ (26 มิ.ย. 67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ‘ธุรกิจของเล่น’ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง โดยแบ่งธุรกิจนี้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มผลิต ทั้งการผลิตของเล่นที่มีล้อ การผลิตตุ๊กตา และเกมต่าง ๆ และกลุ่มขายส่ง/ขายปลีก
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการจัดตั้งธุรกิจของเล่นในรูปแบบนิติบุคคล 1,093 ราย (ผลิต 238 ราย และขาย 855 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท (ผลิต 2,909.61 ล้านบาท และขาย 2,782.60 ล้านบาท) แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 935 ราย (ผลิต 209 ราย และ ขาย 726 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,517.15 ล้านบาท (ผลิต 2,843.11 ล้านบาท และขาย 2,674.04 ล้านบาท) และห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 158 ราย (ผลิต 29 ราย และขาย 129 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 175.06 ล้านบาท (ผลิต 66.50 ล้านบาท และขาย 108.56 ล้านบาท)
สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งธุรกิจมากที่สุด 1,024 ราย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสของ SME ในธุรกิจของเล่นที่ยังเปิดกว้างให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้ามาลงทุนช่วงชิงตลาด โดยจำนวนนี้เป็นกลุ่มขายมากถึง 804 ราย และผลิต 220 ราย สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันที่จะเห็นได้ว่าตลาดของเล่นมีการซื้อขายอย่างคึกคักทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
การจัดตั้งธุรกิจของเล่นปี 2567 ช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) มีจำนวน 57 ราย (ผลิต 50 ราย และขาย 7 ราย) โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก มูลค่าทุนจดทะเบียน 67 ล้านบาท (ผลิต 56 ล้านบาท และขาย 11 ล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลัง 2 ปี พบว่าในปี 2566 มีการจัดตั้งธุรกิจของเล่น 120 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 49 ราย คิดเป็น 69.01% มูลค่าทุนจดทะเบียน 2,736.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 40.90 ล้านบาท คิดเป็น 31.52%
ตลอดปี 2566 ธุรกิจของเล่นสร้างรายได้ 19,677.21 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดด และทำกำไรอยู่ที่ 467.62 ล้านบาท โดยกลุ่มขายสามารถพลิกฟื้นธุรกิจพร้อมสร้างกำไรได้อย่างโดดเด่นในปี 2566 มูลค่า 175.07 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีกำไรอยู่ที่ 83.58 ล้านบาท และขาดทุน 42.25 ล้านบาท ในปี 2564
สำหรับการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจของเล่น มีมูลค่าการลงทุนในไทยทั้งหมด 10,068.04 ล้านบาท โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับ คือ ฮ่องกง 989.37 ล้านบาท จีน 784.16 ล้านบาท และญี่ปุ่น 541.81 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 ธุรกิจของเล่นสร้างมูลค่าการส่งออกได้มากถึง 8,776.24 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบด้านความสมบูรณ์และคุณภาพของวัตถุดิบอย่างไม้และยางพาราที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตของเล่น
ปัจจุบันเกิดกลุ่มที่เรียกว่า ‘Kidult’ ขึ้นมาในอุตสาหกรรมของเล่น ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่าง Kid (เด็ก) และ Adult (ผู้ใหญ่) เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อของเล่นสูง รวมถึงความนิยมของเล่นในกลุ่ม Art Toy ทำให้ธุรกิจของเล่นเติบโต หรือแม้อาชีพนักหิ้วยังสามารถสร้างรายได้ไปกับการซื้อขาย Art Toy ด้วย
ขณะเดียวกัน Art Toy ยังเป็นการนำเอาศิลปะจากดีไซเนอร์นักวาดรูปมาผสมกับการตลาดยุคใหม่ผ่านการจำกัดจำนวนการผลิต สร้างคุณค่าให้สินค้าเป็นที่ต้องการ อีกทั้งมีดีไซเนอร์นักวาดการ์ตูนของไทยได้เข้าไปมีส่วนสำคัญในการสร้าง Art Toy ที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยและสากล จนกลายเป็นที่ต้องการของ Kidult ในระดับโลกด้วย รวมถึงการกระตุ้นความน่าสนใจด้วย Influencer ทำให้สินค้ากลายเป็นที่นิยมในตลาด เกิดนักสะสมรุ่นใหม่และเก่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าตลอดระยะเวลาที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกัน