รมว.คลัง ชี้ ชีพจรเศรษฐกิจไทยเต้นแผ่ว รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
สัมมนาเจาะสัญญาณเศรษฐกิจไทย 69 รมว.คลัง ชี้ ชีพจรเศรษฐกิจไทยเต้นแผ่ว รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ด้าน ส.อ.ท. แนะ เร่งเจราจา FTA ขยายการลงทุน พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
iBusiness จัดเวทีสัมมนา ‘iBusiness Forum: Thailand Future Signal 2026 – จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย’ ระดมความเห็นจากผู้นำภาครัฐ เอกชน และนักวิเคราะห์ ปรับกลยุทธ์รับมือความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2569 โดยมี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ชีพจรเศรษฐกิจไทยเต้นแผ่วมาก เป็นสภาวะที่เหมือนกำลังดิ่งเหว จากตัวเลขของสภาอุตสาหกรรม GDP เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 เติบโต 1.7% ส่วนไตรมาสที่ 4 เหลือ 0.3% ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย 5 เสาหลัก ได้แก่
เสาหลักที่ 1 โครงการคนละครึ่งพลัส, โครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มอีกเดือนละ 850 บาท เป็นเวลา 2 เดือน และโครงการเที่ยวดีมีคืน รับสิทธิลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า ผ่านการท่องเที่ยวเมืองรอง วันนี้ – 15 ธ.ค. 68
เสาหลักที่ 2 ลดภาระหนี้สินภาคประชาชน จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อรับซื้อหนี้ของประชาชนมาปรับปรุงโครงสร้าง ลดภาระดอกเบี้ย
เสาหลักที่ 3 เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ
เสาหลักที่ 4 เพิ่มการออมของประชาชน นำเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อสลากในแต่ละงวดไปจัดสรรเป็นเงินออม เพิ่มโอกาสให้รายย่อยข้าถึงการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ และผู้สูงอายุที่ออมเงินจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
เสาหลักที่ 5 การลงทุนเพื่ออนาคตและเพิ่มทักษะแรงงาน ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เชื่อมโยงภาคธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนกับสถาบันการศึกษาในการผลิตแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของตลาด
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีการแตกขั้วอำนาจออกไปมากขึ้น จากเดิม คือ สหรัฐอเมริกา และจีน รวมถึงผลกระทบจากภาษีทรัมป์ สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ คือ วางตัวไม่ให้มีความขัดแย้งกับขั้วใด ๆ เพื่อเดินหน้าต่อไปในการขยายการค้าและการลงทุน นอกจากนี้ ไทยกำลังเผชิญหน้ากับ 4 การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่
1.Geopolitical Change ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค
2.Technology Change ปัจจุบัน AI เข้ามามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศทุกมิติ ไทยจำเป็นต้องเร่งนำ Digital Technology มาใช้ทำงานแทนรูปแบบเดิม ๆ
3.Population Change จากแนวโน้มเด็กเกิดใหม่ลดลง อนาคตจะขาดแคลนแรงงานในประเทศ รัฐบาลควรพัฒนาประชากรที่มีอยู่ให้มีคุณภาพ
4.Climate Change ปัญหาเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง พร้อมกับการที่รัฐบาลประกาศแนวทาง Net Zero Carbon ภาคเอกชนพร้อมช่วยผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การค้ารูปแบบใหม่ Green Economy
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 69 ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยสำคัญ ทั้งการส่งออกไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบจากสงครามการค้า และความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ จำเป็นต้องเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA)
ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมก็มีแนวโน้มชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาลักลอบขนสินค้าข้ามแดน SMEs เผชิญกับปัญหาหนี้เสีย และสภาพคล่อง ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวอยู่ จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
ส.อ.ท เสนอมาตรการส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทย ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ปฏิรูปกฎหมายด้วยการลดกฎระเบียบและข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น ปฏิรูปกฎหมายส่งเสริมสินค้าและห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เร่งรัดเปิดการค้า และการเจรจาขยาย FTA และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน













