‘พิชัย’ บินวอชิงตัน เจรจาสมาชิกสภาคองเกรสกระชับสัมพันธ์ทางการค้า
‘พิชัย’ บินวอชิงตัน เจรจาสมาชิกสภาคองเกรส-เอกชนสหรัฐ กระชับสัมพันธ์ทางการค้า ย้ำ มุมมองต่อไทยยังเป็นบวก เดินหน้าดึงดูดการลงทุน เป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาค
วันนี้ (11 ก.พ. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้แทนไทยเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา วันที่ 4-8 ก.พ. 68 เพื่อเข้าร่วมงาน National Prayer Breakfast 2025 ที่โรงแรม The Washington Hilton ที่เป็นงานสำคัญที่มีผู้นำระดับสูง รวมถึงมี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วม และยังเจรจาหารือกับสมาชิกสภาคองเกรส เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ และเอกชนชั้นนำ
นายพิชัย กล่าวว่า ได้เข้าร่วมงาน National Prayer Breakfast 2025 ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนนโยบายด้านเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ อีกทั้งยังได้เข้าพบสมาชิกสภาคองเกรสและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ย้ำสถานะของไทยในฐานะพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก
พร้อมกันนี้ ยังได้ชูจุดแข็งของไทยที่เอื้อต่อการค้า-ลงทุน รวมถึงการจัดทำ FTA ที่ยังอยู่ระหว่างเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ ซึ่งจะช่วยเป็นแต้มต่อเพิ่มขีดความสามารถของไทยในตลาดโลกในอนาคต รวมไปถึงไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม Data Center และ AI ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Google Microsoft และ Amazon เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ยังผลักดันให้สหรัฐฯ สนับสนุนให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอเมริกา ทั้งในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ PCB รวมถึงภาคความมั่นคง เช่น การเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (medical hub) ในภูมิภาค และขอแรงสนับสนุนจากระดับนโยบายของสหรัฐฯ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
นายพิชัย กล่าวว่า ยังได้มีโอกาสหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ผ่านสภาหอการค้าสหรัฐฯ (USCC) และสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐฯ (USABC) ซึ่งมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมกว่า 26 บริษัท ได้แก่ Nasdaq, FedEx, The Asia Group, PepsiCo, IBM, Mars, Citi, Organin, Intel, Vriens & Partners, ConocoPhillips, Caterpillar, Seagate, Tyson Food, Apple, DGA-Albright, Stonebridge Group, BowerGroupAsia, S&P Global, Visa, Boeing, Dow, Cargill, 3M และ Viatris เข้าร่วม
ปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยขอรับการส่งเสริมการลงทุนปี 2567 กว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และการส่งออกโตปี 2567 โต 5.4 % มูลค่ากว่า 10.5 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังมีข้อตกลง Treaty of Amity ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ธุรกิจสหรัฐฯ สามารถถือหุ้น 100% ในไทย ซึ่งเป็นสิทธิที่ไทยไม่เคยให้ประเทศอื่น
จากการหารือกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ มุมมองต่อไทยยังเป็นบวก โดยเห็นว่าไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญ และเป็นฐานการผลิตที่ดีในภูมิภาค ซึ่งได้เชิญชวนบริษัทสหรัฐฯ ให้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เวชภัณฑ์ พลังงาน ดิจิทัล และเกษตรอาหาร ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์พร้อมให้การสนับสนุนในด้านนโยบายและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกและแก้ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่