ประธานหอการค้า จ.สุรินทร์ คาด เหตุปะทะชายแดนเศรษฐกิจเสียหายกว่า 700 ลบ.
ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ คาด เหตุปะทะชายแดน – มาตรการปิดด่าน มูลค่าเศรษฐกิจเสียหายกว่า 700 ลบ. เผย นทท. ลดลง – ยกเลิกที่พัก – ขาดแรงงานกัมพูชา หลังมีเหตุ ขอ รัฐ ออกมาตรการสินเชื่อ – เว้นประกันสังคมแรงงาน หวัง เจรจาให้ยุติโดยเร็ว
วันนี้ (6 ส.ค. 68) นายวิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมในจังหวัดสุรินทร์ ว่า ก่อนหน้านี้ในจังหวัดมูลค่าเศรษฐกิจด้านชายแดนประมาณ 300 – 500 ล้านบาท แต่ภาพรวมทั้งจังหวัดที่ได้รับผลกระทบประมาณ 600 – 700 ล้านบาท โดยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประทะกันตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ในจังหวัดสุรินทร์นักท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางเข้ามาลดน้อยลง มีการยกเลิกห้องพักในโรงแรมค่อนข้างเยอะ และภาพรวมเศรษฐกิจค่อนข้างเงียบ
ส่วนเรื่องการปิดด่าน หากมีการติดต่อไปจะส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดน ที่อาจจะเงียบหายไปเลย และด้านการท่องเที่ยวก็จะลดลง เพราะนักท่องเที่ยวยังมีความกลัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการยกเลิกการเข้ามาในพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น โรงแรม ผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ใช้แรงงานจากทางกัมพูชา ก็ประสบปัญหา เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่กลับกัมพูชาแล้ว ทำให้ขาดแคลนแรงงานในการดำเนินธุรกิจ ถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะ ขณะนี้กิจการของตนเอง ลูกค้าก็น้อยลง เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ลูกค้ากลัว และไม่กล้าใช้เงิน เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดยาวไปกว่านี้หรือไม่ จึงไม่กล้าใช้เงินในช่วงนี้
สำหรับมาตรการการช่วยเหลือจากรัฐบาลนั้น ตนเองอยากให้มีการช่วยเหลือ ซึ่งเราในฐานะผู้ประกอบการ อยากให้มีการยืดระยะเวลาการผ่อนชำระ กรณีที่มีการผ่อนสินเชื่อ หรือให้มีเงินกู้เข้ามาเสริมสภาพคล่อง โดยเป็นดอกเบี้ยต่ำ เรื่องแรงงานก็อยากให้ประกันสังคม อาจจะยกเว้นเรื่องการส่งเงินประกันสังคม 2 – 3 เดือน เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ที่มาเลเซียในตอนนี้ ตนเองคาดหวังว่าจะสามารถทำให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้น เราอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
ส่วนผลกระทบระยะยาว ตนเองมองว่ากระทบเยอะมากในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพราะถ้าหากมีการปิดด่านยาวไป 6 เดือน หรือ 1 ปีนั้น ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด การค้าชายแดนอาจจะต้องลดลงไปค่อนข้างเยอะ และหากจะฟื้นกลับมาใหม่ ก็จะต้องใช้เวลาอีกเยอะมาก เนื่องจากว่าสินค้าที่เราส่งไปเป็นพวกสินค้าอุปโภค บริโภค และทางกัมพูชาต้องหาแหล่งสินค้าใหม่ ไทยที่นำเข้าสินค้าเกษตรพวกมันสำปะหลัง เราก็ต้องหาจากพื้นที่เอง ซึ่งอาจจะดีขึ้นในแง่ของราคามันสำปะหลังในประเทศ ที่อาจจะสูงขึ้น โดยก็อาจจะเป็นผลประโยชน์กับเกษตรกรบางส่วน แต่เรื่องการส่งออก คิดว่าจะหายไปค่อนข้างเยอะ
ทั้งนี้ เรื่องของผู้ประกอบการในอำเภอติดชายแดนที่ก่อนหน้านี้ก็จะได้มีคนข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ซึ่งก็จะได้รายได้จากส่วนนี้ แต่เมื่อเกิดการปิดด่าน เกิดเหตุการณ์การประทะกัน เศรษฐกิจในโซนนั้นก็ถดถอย ไม่สามารถค้าขายได้ ซึ่งก็ต้องมองหาถึงการหาอาชีพใหม่ หากยังคงมีมาตรการการปิดด่านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าที่สต๊อกเอาไว้ก็ต้องหาวิธีการจัดการหรือกระจายสินค้าเพราะบางร้านค้าก็สต๊อกสินค้าไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งเราได้เรียกร้องไปยังรัฐบาลแล้ว ถ้ายังมีการปะทะกันต่อ เศรษฐกิจในจังหวัดจะแย่กว่าเดิมมา












