CRIME

รองโฆษก ตร.ย้ำศึกษา พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA

วันนี้ (31​ พ.ค.) เมื่อเวลา​ 11.00 น.​ ที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล​ หรือ​ บชน. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. พร้อมด้วย​ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก​ ตร.) แถลงกรณี​ พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคล PDPA ที่จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในวันที่​ 1 มิถุนายน 2565 นี้

พ.ต.อ.กฤษณะ เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีมีการปรับตัว ทำให้เกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้น ทำให้ตัวกฎหมายดังกล่าวคุ้มครองความเป็นส่วนตัว โดยสามารถฟ้องทางแพ่งหรือทางอาญาได้ รวมถึงหน่วยงานหรือห้างร้านที่มีการจัดเก็บข้อมูลหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่กำหนดหรือตามอำนาจที่ให้ไว้ ตัวเจ้าของข้อมูลสามารถดำเนินการกับหน่วยงานหรือห้างร้านนั้นได้ เช่น Application ที่มีการบันทึกเลขบัตรเครดิตหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด โดยต้องให้เจ้าของข้อมูลยินยอมและสร้างความเชื่อมั่น ว่าข้อมูลที่ถูกนำไปใช้นั้นจะถูกเก็บรักษาไว้เป็นเรื่องส่วนตัวจริง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้เท่าที่เจ้าของข้อมูลยินยอมเท่านั้น ส่วนกรณีกล้องหน้ารถ ที่มีการบันทึกภาพหากใช้เป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อผู้อื่น โดยตัวกฎหมาย มีเจตนาที่จะมุ่งคุ้มครองส่วนบุคคล ดังตัวอย่างการรีวิวอาหารภายในร้านอาหาร หากเป็นการรบกวนบุคคลอื่น และมีการขอไม่อยากให้ถ่ายภาพตนติดเข้าไป โดยไม่ยินยอมก็ดูจากเจตนาว่าตนเสียหายหรือไม่

ทั้งนี้ รองโฆษก ตร.ฝากเตือนหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายจึงอยากให้ไปดูข้อกฎหมายและพรบ.นี้อย่างเคร่งครัด รวมถึงผู้ประกอบการเอกชน ที่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ก็ควรศึกษากฎหมายให้ดีและจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาและมีโทษจำคุกในหลายๆส่วน หากท่านไม่มีแพลตฟอร์มที่จะให้เจ้าของข้อมูลยินยอมให้ใช้ข้อมูล ท่านผิดกฎหมายแน่นอน หากท่านมีการยินยอมเก็บข้อมูลและทำให้เกิดการบิดเบือนข้อมูลหรือเอาไปใช้ในทางการค้าโดยเจ้าของไม่ยินยอม ส่วนตรงนี้ต้องพิจารณาดู คือเจตนารมณ์หลักๆของ พรบ.ฉบับนี้

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าว ดังนี้

  1. การถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอที่ติดภาพของบุคคลอื่นโดยไม่เจตนา และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลที่ถูกถ่าย หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว สามารถทำได้
  2. การโพสต์ภาพหรือคลิปวิดีโอที่ติดภาพของบุคคลอื่นในสื่อสังคมออนไลน์ หากทำเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่แสวงหากำไรทางการค้าและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย สามารถทำได้
  3. การติดกล้องวงจรปิดภายในบ้าน ไม่จำเป็นต้องมีป้ายแจ้งเตือน หากติดเพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย
  4. การทำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ ไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมก่อน ในกรณีดังนี้
    4.1. เป็นการทำตามสัญญา
    4.2. เป็นการใช้ที่มีกฎหมายให้อำนาจ
    4.3. เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิต หรือร่างกายของบุคคล
    4.4. เป็นการใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยทางสถิติ
    4.5. เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
    4.6. เป็นการใช้เพื่อปกป้องประโยชน์ หรือสิทธิของตน

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat