ดีอี-ตำรวจ แถลงยกระดับปราบอาชญากรรมออนไลน์ ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ รับ มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์แฝงตัวในไทย

ยัน ไทยไม่ได้เป็นฐานหลักเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน – ‘ไชยชนก‘ หวังกัมพูชาให้ความร่วมมือตามกรอบ JBC ชี้ หากละเมิดถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของไทย

วันนี้ (27 ต.ค. 68) เวลา 14.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรอง ผอ.ศูนย์ปราบปรามการฟอกเงิน-ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผบช.สตม. ร่วมแถลงมาตรการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์

นายไชยชนก ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวถูกยกระดับเป็นวาระสำคัญทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก โดยช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) เพื่อส่งเสริม และสร้างมาตรการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ สิ่งสำคัญคือการร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูล

พล.ต.ท.จิรภพ เผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้กำลังทุกภาคส่วน รวมถึงประสานหน่วยงานภายนอกเพื่อปราบเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง ส่วนที่มีการประสานจากเกาหลีใต้ว่าพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในไทย ยอมรับว่ามีจริง แต่ฐานปฏิบัติการไม่ได้ใหญ่โตเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเพียงการแฝงตัวตามที่พักอาศัย โดยผู้กระทำผิดใช้เส้นทางธรรมชาติลักลอบเข้าไทย ทั้งนี้ ไทยไม่ได้เป็นฐานหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการหลอกลวง ขณะที่ไทยถูกมองเป็นทางผ่านสู่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อก่ออาชญากรรม เป็นเรื่องที่กำลังควบคุม ยอมรับว่าไม่ง่าย แต่รัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

พล.ต.ท.จิรภพ ยังกล่าวถึงกรณีการจับกุม และยึดอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ว่า อุปกรณ์เกี่ยวข้องกับเครือข่ายประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะจับกุมในไทย และประสานข้อมูลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ซึ่งอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านแปลงเป็นสัญญาณโทรศัพท์เพื่อใช้โทรออก ส่วนมากผู้ต้องหาที่จับได้จะเป็นคนจีนที่ใช้ชื่อคนไทยในการเช่าบ้าน และอุปกรณ์เหล่านี้ลักลอบนำเข้า หรือสั่งซื้อจากจีนผ่านพัสดุที่ตรวจสอบไม่พบ

นายไชยชนก กล่าวเสริมว่า อุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ที่ขายในตลาดไม่ใช่ความผิด แต่การสั่งซื้อนำเข้าซิมบ็อกซ์ที่ประกอบการแล้วถือเป็นการผิดกฎหมาย จึงสั่งการให้ปลัดกระทรวงฯ ประชุมสัปดาห์หน้าเพื่อพิจารณาว่า การนำเข้าอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์แบบแยกชิ้นส่วนจะมีกฎหมายใดควบคุมได้หรือไม่ เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะมีระบบติดตาม

ทั้งนี้ นโยบายสหนึ่งที่จะทำให้สแกมเมอร์ไปต่อไม่ได้คือการจำกัดปริมาณซิมต่อบุคคล และการตรวจสอบการลงทะเบียนอย่างเคร่งครัด ต้องมีจำกัดไม่เกิน 5 เบอร์ต่อคน โดยให้ กสทช. หารือร่วมกับกับผู้ประกอบการโทรศัพท์ในการดำเนินการต่อไป

ส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการเครือข่ายสแกมเมอร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งจดหมายไปถึงกัมพูชาเพื่อขอความร่วมมือติดตามที่อยู่ IP แอดเดรส คอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายก่อเหตุอาชญากรรม รวมถึงขอความร่วมมือเรื่องเส้นทางการเงิน และผู้ร่วมปฏิบัติการจากประเทศอื่น

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวเสริมว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน หากให้ความร่วมมือทุกอย่างจะผ่านไปได้ ทั้งนี้ หากใช้วิธีบุกเข้าไปโจมตีเหมือนที่ประเทศเกาหลีใต้เคยทำ อาจถูกมองว่าทำเกินไป และเกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ยังไม่ได้รับร่วมมือเต็มที่ จะดำเนินวิธีอื่น เช่น จับกุมเครือข่ายที่อาจกระจายทรัพย์สินในไทย

สำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) เรื่องสแกมเมอร์ถูกจัดเป็นเงื่อนไขที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องร่วมมือ สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือต้องเชื่อใจ เรามีข้อมูลแล้วต้องส่งข้อมูลไป พร้อมทั้งระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ที่การส่งข้อมูลทำให้เกิดการแตกตื่น และมีการหลบหนี

นายไชยชนก กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า ประเด็นสแกมเมอร์ในที่ประชุม JBC ทุกฝ่ายพยายามทำอย่างระมัดระวัง แต่ถ้ามีการละเมิดอีก คงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของไทย ระหว่างนี้ต้องติดตามการตอบรับความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นต่อไป