ทนาย ‘บอสพอล’ เตรียมยื่นขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการ เหตุ DSI ขีดเส้นตัดพยาน ภายใน 3 ธ.ค.นี้

ทนาย ‘บอสพอล’ เตรียมยื่นขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการ เหตุ DSI ขีดเส้นตัดพยาน ก่อนส่งสำนวนให้อัยการภายใน 3 ธันวาคมนี้
วันนี้ (20 พ.ย. 67) เวลา 15:05 น. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ให้สัมภาษณ์ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าสอบปากคำเพิ่มเติมกลุ่มบอสชายทั้ง 11 คน ในคดีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ภายหลังถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4,5 และ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 19,20
นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาไปก่อน และจะให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลัง ซึ่งการไม่ได้ประกันตัว ทำให้การต่อสู้คดีในตอนนี้เป็นไปค่อนข้างหนัก เพราะจากที่ตั้งใจจะสู้เต็มที่ ก็ทำได้ไม่เต็มที่แล้ว ซึ่งการให้การโดยที่ไม่มีเอกสารประกอบนั้น ก็ให้การได้ยาก และการสอบปากคำในเรือนจำ ไม่สามารถนำเอกสารเข้าไปโดยตรงได้ ทำได้แค่ให้ดูผ่านกระจก ซึ่งจำนวนเอกสารมีเยอะมาก ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ทั้งหมด และมองว่า หากได้ออกมาเจอกัน และให้การกับพนักงานสอบสอน พร้อมเอกสารแบบตรงไปตรงมา ก็จะง่ายกว่านี้
ส่วนตอนนี้สิ่งที่กังวลที่สุดคือการที่ดีเอสไอ ขีดเส้นว่าจะยุติการสอบสวนวันที่ 3 ธันวาคมนี้ เพื่อเตรียมส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งเอกสารสนับสนุนที่จะเตรียมมอบให้นั้น ก็คงเตรียมไม่ทัน แม้จะมีพนักงานบริษัทคอยช่วยกันดู แต่ในรายละเอียด คนที่ทราบดีก็คือบอสที่อยู่ในเรือนจำ
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ พยานฝั่งดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 2,000 คนที่เตรียมไว้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถให้การได้ทันทั้งหมดภายในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ โดยดีเอสไอ ก็กล่าวว่า จะทำเป็นร่างบันทึก แล้วนำให้ไปให้พยานกรอกรายละเอียดก่อน และตนมองว่า ไม่โอเค เพราะมันค่อนข้างเฉพาะเจาะจงประเด็น และเขียนชี้นำ ตอนนี้มีตัวแทนบริษัทที่ยังขายของอยู่จำนวนมาก ที่มีความจริงที่อยากจะอธิบาย
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ก็มีการโต้เถียงกันในห้องสอบสวนถึงความไม่เป็นธรรม เพราะ ดีเอสไอ บอกว่า ฝั่งผู้ต้องหาต้องการประวิงเวลาการสอบสวน แต่ตนเห็นว่านี่เป็นชีวิตของคนทั้ง 18 คน ควรมีพยานมายืนยันความบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ โดยเป็นสิทธิการต่อสู้ของผู้ต้องหา และเข้าใจว่าเกมนี้ ดีเอสไอ ไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่เป็นตำรวจสอบสวนกลางที่ค้านการประกันตัว และทำให้ผู้ต้องหาต้องถูกคุมขังในเรือนจำ
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า คำว่าความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรมนั้น ตนมองว่าความยุติธรรมที่ปิดปากผู้ต้องหาก็คือความไม่ยุติธรรมเช่นกัน โดยคดีนี้ ฝั่งผู้กล่าวหามีการเปิดให้แจ้งความ และสอบสวนทั่วประเทศเป็นหมื่นคน ในขณะที่ฝั่งผู้ต้องหากลับโดนตัดจบ ตีกรอบตัดพยาน ซึ่งแม้แต่ในชั้นศาล ก็จะไม่มีการตัดพยานฝั่งจำเลย นอกจากจะไม่มาเอง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตนคงต้องเดินไปตามเกมไปก่อน แล้วค่อยไปยื่นขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการ ว่าผู้ต้องหาไม่ได้รับความเป็นธรรมในชั้นสอบสวน แล้วดูว่าทางอัยการจะตีกลับสำนวนมาหรือไม่ โดยตอนนี้จะเร่งนำเอกสารร่างประเด็นไปให้พยานเซ็นให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะนำ 100-200 คนแรก เข้าสู่กระบวนการสอบปากคำให้ทันภายในต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทันไหมแต่จะทำให้เต็มที่ โดยการที่ตนต้องประสานกับคน 2,000 คน ในเวลาไม่กี่วันนั้น “ยิ่งกว่าซูเปอร์แมน”
นายวิฑูรย์ ยืนยันด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การยื้อเวลา แต่เป็นเรื่องของชีวิตคน ตนต้องทำหน้าที่ทนายความให้เต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความจริง ผู้ต้องหายังอยูในสถานะผู้ถูกกล่าวหา สิทธิในการต่อสู้คดีเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่กำลังไม่ได้รับสิทธินั้น
ส่วนที่เคยบอกว่าอยากจะแจ้งความดีเอสไอในข้อหามาตรา 157 นั้น จากที่ดูสถานการณ์ตอนนี้ ตนมองว่า เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มจากดีเอสไอ ดังนั้น ถ้าจะไปเล่นงานก็ไม่ใช่เรื่อง จึงขอไปสู้กันในเกมตามขั้นตอนดีกว่า ก็คือการร้องขอความเป็นธรรม
สำหรับบรรดาบอสทั้งหมด ตอนนี้สภาพจิตใจไม่ได้แย่ ไม่ท้อ และจะจิตตกไม่ได้ ต้องกัดฟันสู้ เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว และคนในอุตสาหกรรมขายตรง ส่วนตนเองในฐานะทนายความก็ไม่เสียกำลังใจ ยังไงก็ต้องสู้ เพียงแต่รู้สึกเซ็ง แต่ยืนยันว่าจะทำคดีนี้ต่อไปจนถึงชั้นศาล