CRIME

ผบ.ตร. สั่ง ขยายผลคดี ‘หยูซินฉี’ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผบ.ตร. สั่ง รองผบ.ตร. ขยายผลคดี ‘หยูซินฉี’ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ยัน ยังไม่ต้องเรียก ชูวิทย์ – รังสิมันต์โรม ให้ข้อมูลเรื่องทุนจีน ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เชื่อ ต้องมีข้าราชการ เอี่ยว เตรียมดำเนินคดี ก่อนผลักดันออกนอกประเทศ

วันนี้ (17 ก.พ. 66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจนำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักย่านสายไหมของนายหยูซินฉี เจ้าของมูลนิธิเถื่อน ตามที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาเปิดเผยข้อมูล และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ออกมาอภิปรายเรื่องดังกล่าวในสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กับผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของนายหยูซินฉี ยอมรับว่า ก่อนนายรังสิมันต์ จะออกมาเปิดเผยข้อมูลนั้น ทางตำรวจก็มีข้อมูลเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบติดตาม แต่พอมีการออกมาเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าไปติดตามตรวจสอบเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจ ส่วนข้อมูลที่ได้รับมาก็มีส่วนที่ตรงกัน ซึ่งขอความร่วมมือจากประชาชน หากมีข้อมูลเรื่องดังกล่าว ให้นำข้อมูลส่งต่อให้ตำรวจตม. เพื่อใช้ประกอบสำนวนแนวทางการสืบสวนสอบสวน

ส่วนการจะเรียกนายชูวิทย์ กลมวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และนายรังสิมันต์ โรม มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมนั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ มองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกมา ซึ่งต้องรอให้ตำรวจดำเนินไปตามกระบวนการก่อน

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่าเบื้องต้นได้ควบคุมตัวนายหยูซินฉี ผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องการฉ้อโกงการ, การตั้งมูลนิธิเถื่อน และแอบอ้างเบื้องสูง ไว้แล้ว โดยพฤติกรรมของนายหยูซินฉี ที่ผ่านมา มักจะมีการแต่งกายเครื่องแบบต่างๆ และมักนะมีการถ่ายรูปร่วมกับบุคคลเพื่อนำไปแอบอ้างกับเพื่อนร่วมชาติ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ให้เข้ามาทำธุรกิจร่วมกัน เพราะสำหรับคนจีนการก่อตั้งสมาคมหรือมูลนิธิถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งขณะนี้พบมีผู้เสียหายที่ถูกหลอกร่วมลงทุน ทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศจีน

โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอผู้เสียหายกลุ่มนี้เข้ามาให้ปากคำ พร้อมยอมรับว่าการแอบอ้างเข้าไปพบบุคคลสำคัญได้ จะต้องมีคนไทย โดยเฉพาะที่เป็นข้าราชการเข้าไปช่วยเหลืออำนวยความสะดวก สำหรับการดำเนินการหลังจากนี้จะมีการเพิกถอนวีซ่า ตั้งข้อกล่าวหา เรื่องการฉ้อโกง ตั้งมูลนิธิหรือสมาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อดำเนินคดีความผิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจนแล้วเสร็จ จะผลักดันออกนอกประเทศ และจะมีการขึ้นบัญชีแบล็คลิสต์ห้ามเข้าประเทศถาวร

Related Posts

Send this to a friend