สอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการสยบจีนดำล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน

ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการ “CIB Game on รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน” พบ เงินหมุนเวียนกว่า 5 ล้านบาท เผย มีความเกี่ยวโยงกับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์
วันนี้ (6 มี.ค. 68) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้แถลงเปิดปฏิบัติการ “CIB Game on รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน” โดยมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร.) เป็นประธานในการแถลงครั้งนี้
พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายปี 2566 ได้มีผู้เสียหายเป็นชาวจีนเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.3 บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมในกรณีที่ผู้เสียหายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกทรัพย์เป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี
ซึ่งเหตุการณ์ในคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปี 2565 ผู้เสียหายได้เข้าไปยังกลุ่ม Facebook ของคนจีน โดยพบมี Facebook ประกาศแจ้งว่าสามารถจัดทำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่น ๆ ของไทยให้กับคนจีนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยคิดค่าดำเนินการประมาณ 1 ล้านบาท ต่อมาผู้เสียหายหลงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำบัตร และเอกสารประจำตัวที่ถูกต้องตามกฎหมายจริงผู้เสียหายจึงได้ติดต่อเข้าไปพูดคุย และตกลงทำบัตรประชาชน
จากนั้นได้มีการนัดหมายให้ผู้เสียหายเดินทางไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาล จังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานเมื่อถึงวันนัดหมายผู้เสียหายได้เดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าวและได้พบนายลี และนางเอ้ โดยนายลีได้พาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าว โดยมีขั้นตอนการถ่ายรูป และสแกนลายนิ้วมือเหมือนกับการทำบัตรประชาชนทั่วไป แต่ไม่มีการกรอกข้อมูลเอกสารใด ๆ ซึ่งภายหลังจากที่ผู้เสียหายทำขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อย นายลีจึงนำบัตรประชาชนที่ปรากฏรูปหน้าผู้เสียหายมาให้กับผู้เสียหายพร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้านอีก 1 ฉบับ (ซึ่งข้อมูลตามบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฏชื่อคนไทยคนเดียวกัน)
หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงชำระค่าดำเนินการ โดยมอบเงินสด จำนวน 1.1 ล้านบาท ให้กับนายลี ต่อมาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ผู้เสียหายได้ตกลงให้นายลี ช่วยทำหนังสือเดินทางให้กับ ผู้เสียหาย โดยนายลี ได้นัดหมายให้ผู้เสียหายมาทำหนังสือเดินทางที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อผู้เสียหายเดินทางมาถึงที่นัดหมาย ได้มีกลุ่มชายไม่ทราบชื่อพาผู้เสียหายไปนั่งรอที่ร้านกาแฟภายในกรมการกงสุล
จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 3 นาย เข้ามาควบคุมตัวผู้เสียหาย และนำตัวผู้เสียหายไปที่ทำการแห่งหนึ่ง โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มนี้ได้แจ้งกับผู้เสียหายให้ทราบว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเนื่องจากปลอมเอกสาร หากผู้เสียหายไม่อยากถูกดำเนินคดี ให้ผู้เสียหายนำเงินมาจ่ายจำนวน 5 ล้านบาท ต่อมาผู้เสียหายจึงได้ต่อรองราคาจนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจตกลงให้จ่ายเงินจำนวน 2 ล้านบาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัล USDT จำนวน 55,555 USDT (เปรียบเทียบเป็นเงินไทยจำนวน 2 ล้านบาท) เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลตามหมายเลขที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้ ก่อนจะปล่อยตัวผู้เสียหายไปและหลังจากเกิดเหตุผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายกลุ่มดังกล่าว
จากการสืบสวนของคณะทำงาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. พบว่าในส่วนของการหลอกลวง ผู้เสียหายให้ไปทำบัตรประชาชนนั้น มีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายกลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มผู้ชักชวนและดำเนินการพาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชน โดยกลุ่นี้มีนายลี และนางเอ้ เป็นผู้ร่วมขบวนการ 2.กลุ่มจัดหาบัตรประชาชนที่จะนำมาสวมสิทธิให้กับผู้เสียหาย โดยจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของบัตรประชาชนเป็น บุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง และพบว่ามีการไปขอทำบัตรประชาชนใหม่หลังจากขายบัตรเพียงไม่กี่วัน จึงน่าเชื่อว่า น่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำในครั้งนี้ และ 3.เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ทำบัตรประชาชน โดยเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในการกระทำผิดของขบวนการดังกล่าว
ส่วนของกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายคน ดังนี้ 1.คนชี้เป้า มีหน้าที่ระบุตำแหน่ง และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวผู้เสียหาย 2.กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย และ 3.เส้นทางการเงินจากการประทุษร้าย พบมีการผ่องถ่ายกันหลายทอด และถอนเงินออกที่บริษัทนอมินี จากการสืบสวนน่าเชื่อว่าคนในขบวนการเป็นผู้ชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบและเข้าทำการรีดทรัพย์ผู้เสียหายอีกทอดนึ่ง
จากการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. ยังพบข้อมูลประวัตินายลี โดยพบว่ามีหมายแดงติดตัว ในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ชาวจีน มูลค่าความเสียหาย 3,000 ล้านหยวน (คิดเป็นเงินไทยมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท) โดยนายลี ได้ก่อเหตุที่ประเทศจีนในช่วงปี 2558-2562 ก่อนจะหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี 2564 ในระหว่างที่นายลี อาศัยอยู่ในประเทศไทย นายลี ได้มีการสวมบัตรหัวศูนย์ หรือบัตรขาว หรือบัตรบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ระบุชื่อเป็นนายจิน ไทยลื้อ เพื่อให้ตนเองมีสิทธิต่าง ๆ เทียบเท่ากับคนไทย จากนั้นได้นำรูปแบบวิธีการที่ตนเองเคยสวมบัตรขาว มาใช้ในการเปิดเพจพาคนจีนไปทำเอกสาร และบัตรประจำตัวต่าง ๆ ในคดีนี้
นอกจากนี้ยังพบว่านายลี ได้มีการประกอบธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ที่ บริษัท อันเจีย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ อีกด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทฯ ดังกล่าว พบว่ามีการจดทะเบียนสถานที่จัดตั้งซ้ำกับบริษัทอื่นอีก 14 บริษัท โดยบริษัทเหล่านี้มีกลุ่มคนไทยเป็นนอมินี ถือหุ้นบริษัทโดยไม่ได้มีการลงทุนหุ้นจริง
ในส่วนของกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจนทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในกลุ่มดังกล่าวจำนวน 4 นาย ถูกจับกุมดำเนินคดีกรณีเรียกรับเงินสินบนจากชาวจีนจำนวน 10 ล้านบาท เมื่อปี 2566 ซึ่งรูปแบบพฤติการณ์ในการก่อเหตุคล้ายกับคดีของผู้เสียหายรายนี้ด้วยเช่นกันในส่วนของกลุ่มจัดหาบัตรประชาชน พบว่ามีนายหน้าทำหน้าที่จัดหาบัตรประชาชนของคนไทยมาเพื่อใช้ในการสวมบัตร ซึ่งผู้ที่ขายบัตรประชาชนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวงผู้เสียหายทำบัตรประชาชน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย โดยศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจำนวนทั้งสิ้น 6 หมายจับ ซึ่งในวันที่ 5 มี.ค.68 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงได้เปิดปฏิบัติการ “CIB Game on” รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน” โดยนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 70 นาย ลงพื้นที่ตรวจค้น 11 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, ภาพสินธุ์,เชียงใหม่, นนทบุรี, ชลบุรี และกรุงเทพฯ เป็นการตรวจค้นจับกุมเป้าหมาย 26 เป้าหมาย (บุคคล 24 รายและบริษัท 2 บริษัท) ซึ่งในส่วนของเป้าหมายที่เป็นตัวบุคคลทั้ง 24 เป้าหมาย แบ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องเชิญตัวมาเพื่อซักถามปากคำจำนวน 18 ราย
ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 2 ราย คือ นายลี และนางเอ้ พร้อมตรวจยึดของกลางตามรายการดังกล่าวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในส่วนของ ผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 4 ราย ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พนักงานสอบสวนจะดำเนินการแจ้ง ข้อกล่าวหาผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
เมื่อถามว่าจะมีการส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนหรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวว่า ด้วยหลักการหากเราจับได้ในไทยก็จะดำเนินคดีในไทยให้เสร็จก่อนแล้วก็จะดำเนินการส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนต่อไป ซึ่งเรามีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศจีนอยู่ตลอดเวลา และมีการให้ข้อมูลซึ่งกันและกัน หลังจับได้ก็ได้รายงานไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนทันที
ส่วนจะมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า เราดูก็มีความเกี่ยวพันกันในกระบวนการนี้ ซึ่งเราก็ได้ตรวจสอบว่ามีเคสอะไรที่เชื่อมโยงกันกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งตรวจสอบพบว่ากลุ่มเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันหมด
มีเงินหมุนเวียนในบริษัทเท่าไหร่นั้น พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ ระบุว่า เฉพาะ 1 ปี เราพบเงินหมุนเวียนอยู่ 4-5 ล้านบาท และทางปอยเปรตอีกหลายล้านบาทซึ่งก็เป็นส่วนที่ต้องขยายการสืบสวนต่อไป
“มันไม่คุ้มที่จะไปรับเงิน และขายบัตรประชาชน ซึ่งการปลอมบัตรเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการปลอมบัตรประชาชนให้กับผู้ร้าย สุดท้ายประชาชนก็ถูกดำเนินคดีจนติดคุก จึงอยากเตือนว่าอย่าไปทำอะไรที่มันแปลกๆ เช่น บัญชีม้าหรือขายบัตรประชาชน ให้เขา สุดท้ายก็ถูกดำเนินคดี ถูกจำคุก ผมคิดว่ามันไม่คุ้ม” พล.ต.ท.จิรภพ กล่าว